นั่งดูน้องๆ ทีมชาติไทยชุดซีเกมส์ลงสนามด้วยฟอร์มการเล่นที่น่าเชียร์มา 2 นัด แล้วก็อดชื่นใจไม่ได้
ท่ามกลางกระแสข่าวอื้อฉาวมากมายของการเป็นเจ้าภาพมหกรรมกีฬาของชาวอาเซียน ฟอร์มในสนามของพวกเขาเป็นอีกหนึ่งประกายแสงแห่งความหวังของคนไทยในช่วงเวลาที่ยากลำบากจากปัญหาสารพันที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะพิษเศรษฐกิจ ปัญหาการเมือง ภัยธรรมชาติ และสงครามชายแดน
แต่ในความชื่นใจนั้น จู่ๆสมองของคนเริ่มเฒ่าก็กดปุ่ม ‘Rewind’ ย้อนกลับไปถึงฟุตบอลซีเกมส์ในวันวาน เมื่อปี พ.ศ.2536
กับนัดชิงชนะเลิศครั้งหนึ่ง ที่ยังคิดถึงตลอดมา
นัดแจ้งเกิดของ ‘ซิโก้’ ฮีโร่จอมตีลังกา
ผมชวนทุกคนขึ้นรถ DeLorean Time Machine ซิ่งกลับไปเมื่อเกือบ 30 ปีที่แล้ว
ในช่วงเวลานั้นประเทศไทยกำลังพยายามจะเป็น ‘เสือตัวที่ 5 ของเอเชีย’ บ้านเมืองเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ก็มีปัญหาการเมือง มีการแทรกแซงจากกองทัพตลอดเวลา เพียงแต่ด้วยความเป็นเด็กเรื่องแบบนี้อาจจะไกลผมเกินไปสักหน่อยในตอนนั้น
นอกเหนือจากการ์ตูนที่เปิดดูทุกวันหยุดแล้ว หนึ่งในความสนใจคือเรื่องของมหกรรมกีฬา โดยเฉพาะซีเกมส์ ซึ่งเป็นมหกรรมกีฬาที่ใกล้ตัวที่สุด คนไทยได้เชียร์สนุกที่สุดเพราะเรามีโอกาสคว้าเหรียญทองกันจริงๆ และซีเกมส์ในตอนนั้นยังเป็นการแข่งขันที่ได้รับความนิยมสูงมาก
หนึ่งในเหรียญรางวัลที่คนไทยอยากได้มาครอบครองที่สุดและจะดีใจที่สุดคือเหรียญทองการแข่งขันฟุตบอลชาย ซึ่งถือเป็น ‘พันธกิจ’ ระดับชาติเลยทีเดียว
ตรงนี้เองที่เป็นปัญหา
ในการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 17 ที่ประเทศสิงคโปร์ ในปี พ.ศ. 2536 (ค.ศ. 1993) ทีมชาติไทย (ในความหมายถึงทีมฟุตบอลชาย) เผชิญความกดดันอย่างหนัก หนึ่งเพราะเราไม่ได้แชมป์เลยมาตั้งแต่ปี 2528 หรือพลาดการได้แชมป์มา 3 สมัย
อีกหนึ่งคือความตกต่ำของวงการฟุตบอลไทย โดยเฉพาะหลังมีประเด็นเกี่ยวกับการ ‘ล้มบอล’ ที่นำไปสู่การสาบานหน้าวัดพระแก้วของขุนพลทีมชาติไทยยุคนั้นอย่าง ‘เพชฌฆาตหน้าหยก’ ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน ดาราลูกหนังตลอดกาลซึ่งเป็นฮีโร่ของชาติในเวลานั้น
อย่างไรก็ดีทีมชาติไทยในเวลานั้นกำลังอยู่ในยุคเปลี่ยนผ่านที่สำคัญ
ด้วยความฝันของผู้ชายคนหนึ่ง

บรรยาย: ‘บิ๊กหอย’ ธวัชชัย สัจจกุล อดีตผู้จัดการฟุตบอลทีมชาติไทย
ธวัชชัย สัจจกุล หรือสมญาที่นักข่าวไทยตั้งให้ว่า ‘บิ๊กหอย’ (แม้ชื่อเล่นจริงๆ ของแกจะชื่ออ๊อดก็ตาม) คือตัวละครลับที่โผล่เข้ามาในวงการฟุตบอลไทยแบบไม่น่าเชื่อ เพราะไม่ได้อยู่เส้นทางหรือวงโคจรของทีมชาติไทยมาก่อน
จู่ๆ ก็ได้บทบาทในการเป็น ‘ผู้จัดการทีมชาติ’ เสียอย่างนั้น
แต่ในเบื้องหลังแล้ว ธวัชชัย ไม่ใช่ไม่ประสาในเกมลูกหนัง กลับกันครั้งยังเป็นเด็กนุ่งขาสั้นก็เป็นตัวผู้เล่นระดับแชมป์ฟุตบอลเยาวชนแห่งประเทศไทยมาก่อน เพียงแต่ด้วยความจำเป็นทางครอบครัวจึงต้องหันหลังให้กับเกมลูกหนัง มาดูแลธุรกิจทางบ้านแทน
จุดเปลี่ยนทางชีวิตของการที่รู้ตัวว่างานอดิเรกในการตีกอล์ฟแบบติดปลายนวมที่หมัดวันละหลายหมื่นบาทอาจไม่ใช่หนทางที่ดีนัก กอปรกับมารู้ว่ามีหนทางที่จะกลับมาหาเกมฟุตบอลได้อีกครั้ง ซึ่งไม่ใช่การกลับมาใส่สตั๊ดลงสนาม แต่เป็นการทำงานในฐานะผู้จัดการทีม
ตามธรรมเนียมลูกหนังแบบไทยๆ ใครจะเป็นผู้จัดการทีมได้นั้นอย่างแรกที่ต้องมีคือ ‘เงิน’ เพราะต้องจ่ายเงินในการเตรียมทีมเอง
เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหา
เรื่องความรัก ความคลั่งไคล้ และวิชาลูกหนัง ก็ไม่ใช่ปัญหาอีกเช่นกันเพราะยังรักและบ้าบอลเสมอ จนทำให้ขอโอกาสในการเข้ามาลองทำงานกับสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ โดยมี วิจิตร เกตแก้ว เลขานุการสมาคมในเวลานั้นเป็นผู้เปิดประตูให้เข้ามาลอง
เริ่มจากทีมชาติชุดเยาวชนอายุ 19 ปี สู่เป้าหมายใหม่ในการพาไทยไปกีฬาโอลิมปิก 1996 ที่เมืองแอตแลนตาให้ได้
โปรเจกต์ระดับตำนานจึงเกิดขึ้นด้วยการรวบรวมเหล่านักเตะมาเก็บตัวฝึกซ้อม กินนอนด้วยกัน โดยที่เด็กๆเหล่านั้นเป็นนักเตะที่ไม่ได้รับโอกาสในการแจ้งเกิดจากสโมสรต้นสังกัด
สายตาของคนในวงการมองมายังทีมชุดนี้และบิ๊กหอยด้วยความดูแคลน
เทพไชย วิโนทัย ผู้สื่อข่าวกีฬาระดับตำนานพ่อของธีรเทพ วิโนทัย ตั้งชื่อทีมฟุตบอลชุดนี้แบบเสียดสีหยอกเอินเล็กๆว่า ‘ดรีมทีม’
ธวัชชัยชอบชื่อนี้ เพราะสำหรับเขามันคือทีมแห่งความฝันจริงๆ
วันเวลาผ่านมารวดเร็ว ‘ดรีมทีม’ สร้างชื่อได้ในรายการ Aiwa Merlion Cup ที่ประเทศสิงคโปร์ โดยไปแข่งแทนทีมชาติชุดใหญ่ (ในเวลานั้นเรียกว่าประเทศไทยมีฟุตบอลทีมชาติ 2 ชุดก็ว่าได้) และทำผลงานได้น่าประทับใจ เข้าถึงรอบชิงชนะเลิศได้แม้น่าเสียดายที่พ่ายต่อทีมชาติสิงคโปร์ชุดใหญ่
ทีมน้องจึงเริ่มแรงขึ้นมาเบียดกับทีมพี่
นักเตะของทีมชุดนั้นเริ่มเป็นที่รู้จัก ไม่ว่าจะเป็น วัชรพงศ์ สมจิตร, พัฒนพงศ์ ศรีปราโมทย์, โกวิทย์ ฝอยทอง, ดุสิต เฉลิมแสน, รุ่งเพชร เจริญวงศ์, ตะวัน ศรีปาน รวมถึงธวัชชัย ดำรงอ่องตระกูล (ที่กลับมาเป็นโค้ชทีมชาติไทยชุดซีเกมส์ในเวลานี้)
และอีกคนที่อยู่ในทีมด้วยคือเกียรติศักดิ์ เสนาเมือง หรือ ‘ซิโก้’ กองหน้าดาวรุ่งของทีม
นักเตะที่มีชื่อเล่นเดียวกับ ‘เปเล่ขาว’ เป็นเด็กในคาถามหาลูกหนังของธวัชชัย ตั้งแต่แรกเริ่ม เรียกว่าผ่านการคัดตัวมาเป็นอย่างดี โดยแม้จะไม่ได้เป็นกองหน้าที่ดูโดดเด่นด้วยพรสวรรค์ที่หาคนเทียบกับปิยะพงษ์ ผิวอ่อนได้ยาก แต่ก็มีทักษะการเล่นที่ดี เล่นฟุตบอลได้คล่องแคล่วทั้งสองเท้า มีความเร็วและมีสัญชาตญาณในการทำประตูติดตัว
สำคัญคือเรื่องของใจ ทุกครั้งที่ลงสนามซิโก้ทำให้เห็นเสมอว่าเขามุ่งมั่นและตั้งใจ
เพราะสิ่งเหล่านี้เองที่ทำให้เด็กหนุ่มจากขอนแก่นเดินทางมาได้ไกล และไปได้มากกว่าความฝันของเขาที่อยากจะ ‘ติดทีมชาติสักครั้ง’
เพราะสมัยนั้นการจะได้โอกาสการติดทีมชาติไทยสักครั้งไม่ใช่เรื่องง่าย หนึ่งเพราะโอกาสมีน้อย สองคือการจะติดทีมชาติไทยหมายถึงคุณต้องแข่งขันกับนักฟุตบอลที่ถือเป็นที่สุดของประเทศในตำแหน่งนั้นๆ ซึ่งสมัยนั้นแม้เราจะไม่มีวิทยาศาสตร์การกีฬา ไม่มีเทคโนโลยี ไม่มีแบบแผนการทำทีมแบบฟุตบอลอาชีพ แต่ฝีเท้าของนักเตะรุ่นพี่ๆคือของจริง (ในแบบที่เขาบอกว่า Class is permanent)
จะขึ้นมาเป็น ‘หัวแถว’ คุณต้องเก่งจริงเท่านั้น

แต่ด้วยการเก็บตัวฝึกซ้อมกับดรีมทีมมาตลอด ภายใต้การชี้แนะของบิ๊กหอย และโค้ชฝีมือดีอย่าง ชัชชัย พหลแพทย์ อดีตนักฟุตบอลทีมชาติไทยชุดที่เล่นในกีฬาโอลิมปิกมาแล้ว ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็น ‘โค้ชจอมฟิต’ ทำให้สภาพร่างกายพร้อม ทักษะพร้อม และกำลังใจพร้อม
ขาดอย่างเดียวคือ ‘โอกาส’
โอกาสที่ว่านั้นมาถึงในซีเกมส์ครั้งนั้นเอง ซึ่งนักเตะชุดดรีมทีมมีส่วนลงไปลุยล่าฝันในรายการนี้ด้วย ซึ่งแม้ความคาดหวังจะสูงเพราะทุกคนอยากให้ไทยกลับมาเป็นแชมป์
ปรากฏว่าทีมทำผลงานร้อนแรงผ่านเข้ามาถึงรอบชิงชนะเลิศได้ กลับมาเจอกับพม่าที่เคยเจอกันในรอบแรกอีกครั้ง แต่คราวนี้พม่าเตรียมตัวเตรียมใจมาดี โอกาสยิงนำไปก่อนตั้งแต่นาทีที่ 4 แต่ ‘สิงโตเผือกปากน้ำโพ’ วิฑูรย์ กิจมงคลศักดิ์ ยิงตีเสมอให้ทีมได้สำเร็จ ก่อนที่เกมจะแลกกันอย่างมัน ไทยรัวกลับมาแซง 3-1 และน่าจะชนะได้ไม่ยากแล้ว
แต่ลูกหลานพระเจ้าตะเบงชเวตี้ ดันฮึดไล่ยิง 2 ลูกรวด สกอร์อยู่ที่ 3-3 ตอนนั้นอาการของไทยเริ่มหนักแล้วเพราะความหลอนจากความผิดหวังที่ผ่านมาเริ่มก่อตัว ไม่นับแรงกดดันที่สัมผัสได้ว่าหากไม่ชนะวันนี้กลับไปยับเยินแน่
จนกระทั่งจุดเปลี่ยนอยู่ที่การตัดสินใจร่วมกันของโค้ชและผู้จัดการทีมอย่างบิ๊กหอยและโค้ชชัช ซึ่งในครึ่งหลังวิฑูรย์เริ่มหมดแรงป้อแป้ขอเปลี่ยนตัวออกจากสนาม เวลานั้นตัวเลือกในตำแหน่งกองหน้าเหลือแค่ 2 คน
สุดท้ายบิ๊กหอยบอกกับโค้ชชัชว่า “เอาไอ้โก้ลง มันเร็ว แข็งแรงกว่า” ทั้งๆ ที่ตลอดทัวร์นาเมนต์ไม่ได้ลงเล่นเลยก็ตาม
การเปลี่ยนตัวครั้งนั้นเกิดขึ้นในนาทีที่ 77 โดยที่ไทยพยายามลุยกันต่ออีกครั้งในช่วงเวลาที่เหลือ โดยไม่มีใครคาดคิดว่าในอีก 10 นาทีต่อมาจะเกิดประตูมหัศจรรย์
ก่อนหมดเวลา 3 นาที ลูกบอลเปิดเข้ามาที่เสาแรก ไอ้หนุ่มเมืองขอนแก่นวัย 19 ปี โจนทะยานขึ้นกลางอากาศก่อนจะโขกเสยสะบัด
ลูกมันเหมือนจะไม่มีอะไร แต่ลูกโขกนั้นกลับลอยเข้าเสาไกลไปอย่างไม่น่าเชื่อ
ไทยกลับมานำอีกครั้ง 4-3 ‘ซิโก้’ วิ่งดีใจก่อนกระโดดตีลังกาฉลองประตูด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่ระเบิดออกมา
ลูกนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่จุดเปลี่ยนชีวิตของเขาที่ต่อมากลายเป็นฮีโร่คนใหม่ของไทย เป็นนักฟุตบอลที่ประสบความสำเร็จสูงที่สุดคนหนึ่งที่เคยมีมา แต่ยังเป็นจุดเปลี่ยนของ ‘ดรีมทีม’ ทั้งทีมที่กลายเป็นฮีโร่ของชาติ จุดกระแสฟุตบอลไทยให้กลับมาบูมอีกครั้งด้วย
และแน่นอนสำหรับคนประกอบความฝันขึ้นมาอย่างธวัชชัย สัจจกุล
ต่อให้สุดท้ายปลายทางของทีมชุดนี้จะไปไม่ถึงฝันที่แอตแลนตา แต่อย่างน้อยในชั่วครู่หนึ่งเขาก็ได้เห็นแล้วว่าหน้าตาของความฝันมันเป็นอย่างไร


