เมื่อผมได้รับเชิญจากผู้บัญชาการทหารสูงสุดให้มาร่วมพูดคุยในเวทีที่เกี่ยวข้องกับ ‘ผู้นำรุ่นใหม่’ ภายในงาน Thailand Security Dialogue 2025 คำถามแรกที่ผมถามตัวเองก็คือ “ผมยังถือว่าเป็นคนรุ่นใหม่อยู่หรือไม่?”
แม้ว่าผมจะเพิ่งอายุครบ 40 ปีในปีนี้ แต่ผมก็นึกขึ้นได้ว่า ครั้งหนึ่งผมเคยเข้าร่วมโครงการผู้นำรุ่นใหม่ในอีกประเทศหนึ่งของเอเชียซึ่งกำลังเผชิญกับความท้าทายของสังคมผู้สูงอายุเช่นเดียวกับไทย โดยกฎเกณฑ์ของเขาง่ายมาก ‘หากคุณยังทำงานอยู่ยังไม่คิดจะเกษียณ และมีโอกาสเติบโตในการงานต่อ คุณก็ยังถือว่าเป็นคนรุ่นใหม่ แม้จะอายุ 60 ปีแล้วก็ตาม!’ ถ้าใช้เหตุผลจากมุมมองเดียวกันนั้น ตราบใดที่คุณยังไม่หยุดทำงาน คุณก็ยังถือว่าเป็นคนหนุ่มสาว เป็นคนรุ่นใหม่ได้ ดังนั้น แม้ท่านผู้บัญชาการทหารสูงสุดของเราจะเกษียณอายุในปลายเดือนกันยายนนี้ หากท่านยังไม่หยุดทำงาน จริงๆแล้วท่านก็ยังสามารถนั่งอยู่บนเวทีนี้ร่วมกับเราได้
วันนี้ผมได้รับเชิญมาในฐานะตัวแทนของ ‘คนรุ่นใหม่’ เพื่อสะท้อนว่า เราจะก้าวผ่านความไม่แน่นอนและสร้างอนาคตที่มีความยืดหยุ่นได้อย่างไร เมื่อเราพูดถึงความยืดหยุ่น มันไม่ใช่เพียงประเด็นของประเทศชาติเท่านั้น แต่มันคือเรื่องที่ว่า ประเทศไทยปฏิบัติต่อคนรุ่นใหม่อย่างไร อาเซียนจะปฏิรูปตัวเองอย่างไร เพื่อให้ยังคงมีความหมาย และระเบียบโลกในปัจจุบันจะมอบความหวัง หรือจะมอบเพียงแต่ภาระให้แก่เยาวชนคนรุ่นใหม่
ผมมองตัวเองว่าเป็นเสมือนคนรุ่นที่ ‘เชื่อมสะพาน’ ระหว่างคนสองรุ่นที่มักอยู่ตรงข้ามกัน ได้รับสิทธิพิเศษที่ได้ทำงานกับทั้งสองกลุ่มอย่างใกล้ชิด แต่ก็มักจะเจ็บปวดกับภาระที่ต้องหาทางประสานความแตกต่างนั้น
และนั่นคือเหตุผลที่คำถามเรื่อง ‘ความยืดหยุ่น’ (Resilience) เป็นเรื่องที่ยากมาก ผมไม่อาจอ้างว่ามีคำตอบทั้งหมด แต่สิ่งที่ผมรู้คือ คนรุ่นใหม่มีพลังที่แท้จริง พวกเขามีพลังงาน มีความคิด และมีความมุ่งมั่นที่จะท้าทายสถานะเดิม (Status Quo) ผมได้เห็นสิ่งนี้ด้วยตาตัวเองตั้งแต่เข้ามาเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยเต็มเวลา ทุกๆ วันผมได้พบกับนักศึกษาที่ไม่กลัวที่จะตั้งคำถามที่ยาก คิดอย่างมีวิจารณญาณ และจินตนาการถึงอนาคตที่ต่างออกไปของประเทศและโลกของเรา
เสียงคนรุ่นใหม่ ‘ต้องถูกรับฟัง’
แต่เพื่อให้พลังเหล่านั้นมีความหมายอย่างแท้จริงๆ การที่คนรุ่นใหม่ได้พูดออกมาเพียงอย่างเดียว ‘ไม่เพียงพอ’ พวกเขาจำเป็นต้องได้รับการรับฟังด้วย เสียงของพวกเขาจำเป็นต้องถูกได้ยิน ไม่ใช่เพียงแค่ยอมรับตามมารยาทแล้วก็ถูกเพิกเฉยในที่สุด
และนี่แหละคือ ‘ความท้าทาย’ ที่ต้องอาศัย ‘ความเป็นผู้ใหญ่’ (Maturity) ในระดับหนึ่งจากผู้มีอำนาจ ซึ่งจะต้องมองข้ามอารมณ์ส่วนตัว และหันมาโต้ตอบกับข้อโต้แย้งของคนรุ่นใหม่อย่างจริงใจ เราต้องการผู้นำที่พร้อมจะวางอคติลง ฟังโดยไม่ตั้งท่าป้องกันตัว และบางครั้งถึงขั้นยอมรับได้ว่า คำวิจารณ์ที่ถูกเปล่งออกมานั้น ‘อาจเป็นความจริง’
ในประเทศไทยทุกวันนี้ มีคนรุ่นใหม่บางส่วนที่เรียกร้องการปฏิรูป แต่กลับต้องติดคุก ต้องขึ้นศาล หรือถูกบังคับให้ลี้ภัยไปต่างประเทศ ความจริงนี้ไม่อาจเป็นสัญลักษณ์ของ ‘อนาคตที่ยืดหยุ่น’ (Resilient Future) ได้ สังคมที่มีความยืดหยุ่น ไม่ใช่สังคมที่ปิดปากคนรุ่นใหม่ แต่เป็นสังคมที่โอบรับเสียงของพวกเขาให้เป็นส่วนหนึ่งของการสนทนาระดับชาติ บททดสอบที่แท้จริงของภาวะผู้นำ ไม่ใช่ว่าปฏิบัติต่อผู้มีอำนาจอย่างไร แต่คือการปฏิบัติต่อคนรุ่นใหม่ที่กล้าเอ่ยความจริงต่ออำนาจอย่างไร
คุณลักษณะของ ‘ผู้นำที่ยืดหยุ่น’
สิ่งที่เราต้องการไม่ใช่เพียงแค่ความเห็นอกเห็นใจ แต่ยังต้องการ ‘ความกล้าหาญ’ ผู้นำต้องกล้าที่จะมองข้ามถ้อยคำหรือสมมติฐานเกี่ยวกับแรงจูงใจเบื้องหลัง แม้คำวิจารณ์เหล่านี้จำนวนมากมักถูกแสดงออกด้วยอารมณ์ ด้วยภาษาที่เผ็ดร้อน แต่ความรับผิดชอบของความเป็นผู้นำก็คือ ความสามารถในการมองทะลุความร้อนแรงของถ้อยคำ และเข้าถึงหัวใจของสารที่แท้จริง
ในภาษาบาลี ซึ่งเป็นภาษาที่ใช้ในคัมภีร์พระพุทธศาสนา มีคำหนึ่งที่สะท้อนแนวคิดนี้ได้ชัด คือ ‘อนุกัมปา’ (Anukampā) ซึ่งมักจะแปลว่า ‘ความกรุณา’ หรือ ‘ความเห็นใจ’ แต่แท้จริงแล้วคำนี้ยังหมายถึง ความสามารถที่จะถูกสั่นสะเทือนด้วยสถานการณ์ของผู้อื่น การเข้าใจแก่นแท้ของข้อความที่อีกฝ่ายส่งมา โดยไม่ตัดสิน และผมเชื่อว่า นี่คือสิ่งที่ภาวะผู้นำที่ยืดหยุ่นต้องการอย่างแท้จริง
อาเซียนในสายตาของคนรุ่นใหม่
ในระดับอาเซียน หากจะมีใครสักคนในห้องนี้ที่ควรจะมีศรัทธาแรงกล้าในอาเซียน ก็น่าจะเป็นผม เพราะ ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ คุณพ่อผู้ล่วงลับของผมเคยดำรงตำแหน่งเลขาธิการอาเซียน แต่ความจริงก็คือ เช่นเดียวกับคนหนุ่มสาวจำนวนมาก ผมก็ยังมีความสงสัยต่อองค์กรนี้อยู่ไม่น้อย
ในฐานะที่ผมเติบโตมาในครอบครัวมุสลิม ได้รับการศึกษาในโรงเรียนคาทอลิก และอาศัยอยู่ในประเทศที่เป็นเมืองพุทธ ทำให้ผมให้คุณค่าอย่างลึกซึ้งกับ ‘ความหลากหลายของอาเซียน’ ผมยังตระหนักถึงความสำเร็จขององค์กรนี้ด้วย แม้จะมีเหตุปะทะกันระหว่างไทย–กัมพูชา แต่อาเซียนก็ยังรักษาสันติภาพไว้ได้ในภูมิภาคที่เคยเต็มไปด้วยความขัดแย้ง ยืนยันการเป็นเขตปลอดนิวเคลียร์ และสร้างเศรษฐกิจที่มีมูลค่า 3.66 ล้านล้านดอลลาร์ ครอบคลุมประชากร 670 ล้านคน ประชาชนในปัจจุบันได้รับประโยชน์จากการยกเว้นวีซ่า ข้อตกลงการบิน และหมุดหมายทางสถาบัน เช่น กฎบัตรอาเซียน ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และปฏิญญาสิทธิมนุษยชนอาเซียน
แต่ในสายตาของคนรุ่นใหม่ในอาเซียนจำนวนมาก องค์กรนี้กำลังเผชิญวิกฤตใหญ่ 3 ประการ ได้แก่ วิกฤตด้านความเคารพ (Respect), วิกฤตด้านชื่อเสียง (Reputation), และวิกฤตด้านความเกี่ยวข้อง (Relevance)
ประการแรกคือ วิกฤตด้านความเคารพ ความเป็นศูนย์กลางของอาเซียน (ASEAN Centrality) กำลัง ‘อ่อนแรงลง’ ท่ามกลางการแข่งขันระหว่างสหรัฐฯ–จีน มหาอำนาจต่างๆ หันไปทำข้อตกลงทวิภาคี แทนที่จะผ่านอาเซียน ทำให้เอกภาพถูกบั่นทอน ตัวอย่างเช่น สงครามภาษีที่แต่ละประเทศสมาชิกอาเซียนต่างดำเนินกลยุทธ์ของตนเอง จนเห็นชัดว่า ‘ขาดการเจรจาร่วมกัน’ ขณะที่ภายในภูมิภาคเอง การร่วมมือข้ามพรมแดนในการปราบปรามผู้เห็นต่างทำให้ดูเหมือนว่า รัฐบาลอาเซียนร่วมมือกันได้อย่างมีประสิทธิภาพในการ ‘ปิดปากนักวิจารณ์’ มากกว่าการที่จะร่วมมือกัน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน อาเซียนไม่อาจได้รับความเคารพจากนานาชาติได้ หากไม่ได้รับความเคารพจากเยาวชนคนรุ่นใหม่ของตนเอง
ประการที่สองคือ วิกฤตด้านชื่อเสียง เมียนมาเป็น ‘บททดสอบด้านชื่อเสียงที่สำคัญที่สุด’ ของอาเซียน ฉันทามติ 5 ข้อในปี 2021 ‘ล้มเหลว’ ในการหยุดยั้งความรุนแรงหรือฟื้นฟูเสถียรภาพ ภาพของผู้ประท้วงชาวเมียนมาที่เผาธงอาเซียนเป็นภาพที่ทรงพลัง เป็นสัญลักษณ์ของคนรุ่นใหม่ที่กำลัง ‘สูญเสียความศรัทธา’ สำหรับเยาวชนคนรุ่นใหม่แล้ว ชื่อเสียงของอาเซียนกำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย อาเซียนมีประโยชน์อะไร หากไม่สามารถปกป้องศักดิ์ศรีและสิทธิขั้นพื้นฐานของพลเมืองได้? อย่างไรก็ดี ความพยายามของอาเซียนในการช่วยลดความตึงเครียดระหว่างไทย–กัมพูชา ก็ควรได้รับการชื่นชม และภารกิจติดตามของอาเซียน (ASEAN Observers Team) ที่กำลังวางแผนอยู่อาจช่วยฟื้นความเชื่อมั่นต่อองค์กรได้
ประการที่สามคือ วิกฤตด้านความเกี่ยวข้อง ประชาชนตั้งคำถามถึงคุณค่าของอาเซียน เมื่อองค์กร ‘ไม่สามารถแก้ไขปัญหาเร่งด่วน’ ที่กระทบชีวิตประจำวันได้ ศูนย์สแกมเมอร์ในเมียนมาและกัมพูชาได้สร้างเหยื่อหลายพันคน แต่ศูนย์อาเซียนว่าด้วยอาชญากรรมข้ามชาติที่เคยตกลงกันตั้งแต่ปี 1997 แม้จะผ่านมาแล้ว 27 ปี แต่ก็ ‘ยังไม่เกิดขึ้นจริง’ ในทำนองเดียวกัน มลพิษหมอกควันยังคงส่งผลกระทบต่อชีวิตผู้คนนับล้านทุกปี แม้จะมีข้อตกลงหมอกควันปี 2002 แต่ก็ใช้เวลาถึงสองทศวรรษกว่าจะตั้งศูนย์ประสานงานได้ หากไม่มีการลงมือทำอย่างจริงจังและผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม อาเซียนก็ ‘เสี่ยงที่จะหมดความหมาย’ ต่อชีวิตของคนรุ่นใหม่
หากอาเซียนต้องการที่จะได้รับความเคารพ มีชื่อเสียงที่ดี และยังคงมีความเกี่ยวข้อง อาเซียน ‘จำเป็นต้องปฏิรูป’ ดำเนินการร่วมกัน และส่งมอบผลลัพธ์ที่จับต้องได้ ดังที่ท่าน ถนัด คอมันตร์ รัฐบุรุษทางการทูตของไทยเคยกล่าวไว้เมื่อปี 1967 ในการก่อตั้งอาเซียนผ่าน ‘ปฏิญญากรุงเทพ’ (Bangkok Declaration) ว่า “ภารกิจของอาเซียนคือ การสร้างสังคมใหม่ที่ตอบสนองต่อความต้องการของยุคสมัย และมีประสิทธิภาพในการนำมาซึ่งเสถียรภาพและความก้าวหน้า ทั้งในทางวัตถุและจิตวิญญาณ เพื่อประโยชน์สุขของประชาชนของเรา” วิสัยทัศน์นั้นยังคงใช้ได้กับสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งมีความ ‘เร่งด่วน’ ไม่ต่างจากในวันก่อตั้ง หากอาเซียนไม่สามารถส่งมอบสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่คนรุ่นใหม่ในวันนี้ ก็เสี่ยงที่จะสูญเสียคนรุ่นใหม่ในวันหน้า และเมื่อสูญเสียไปแล้ว ก็เท่ากับสูญเสียเป้าหมายที่แท้จริงของตนเอง
มีเพียงการรื้อฟื้นเจตนารมณ์ดั้งเดิมเท่านั้นที่อาเซียนจะยังคงเป็นพลังเพื่อสันติภาพ เสถียรภาพ และความมั่งคั่งได้ ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ การทำให้อาเซียนกลับมาได้รับความไว้วางใจจากคนรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นคนรุ่นที่จะมองอาเซียนไม่ใช่ด้วยความโหยหาอดีต แต่ด้วยความหวังต่ออนาคตที่มั่นคงและยืดหยุ่นมากกว่า
วิกฤตระดับโลก และภัยคุกคามความมั่นคงรูปแบบใหม่
ในระดับโลก วิกฤตมีอยู่รอบด้าน เรากำลังเห็นสงครามขนาดใหญ่สองสมรภูมิที่เกี่ยวพันกับมหาอำนาจหรือกลุ่มตัวแทนของพวกเขา ควบคู่กับความตึงเครียดที่คุกรุ่นและอาจปะทุเป็นความขัดแย้งได้ทุกเมื่อ สงครามในกาซามีความหายนะ คร่าชีวิตผู้คนนับหมื่นนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2023 ขณะที่สงครามในยูเครนก็คร่าชีวิตผู้คนนับแสน
เมื่อไม่นานมานี้ ผมได้สอบถามนักศึกษาของผมจำนวน 120 คน ผ่านการทำแบบสอบถามในห้องว่า พวกเขา ‘เชื่อหรือไม่ว่าสงครามใหญ่ระหว่างสหรัฐฯ และจีนอาจปะทุขึ้นภายใน 5 ปีข้างหน้า’ ร้อยละ 62 ตอบว่า ‘เชื่อ’ โดยส่วนใหญ่ชี้ไปที่ความตึงเครียด ‘เรื่องไต้หวันหรือทะเลจีนใต้’ ในชั้นเรียนด้านความมั่นคง ผมมักย้ำกับพวกเขาเสมอว่า เราศึกษาเรื่องความมั่นคง ‘ไม่ใช่เพื่อเชิดชูสงคราม’ แต่เพื่อป้องกันการเกิดสงคราม เพื่อลดความหายนะของมนุษย์ และเพื่อหวังเสมอว่าความขัดแย้งสามารถยุติได้อย่างสันติ ก่อนที่ใครจะตัดสินใจใช้ความรุนแรง
และนอกเหนือจากสงคราม เรายังเผชิญกับ ‘ภัยคุกคามความมั่นคงรูปแบบใหม่’ ทั้งโรคระบาด วิกฤตสภาพภูมิอากาศ และการล่มสลายของระเบียบโลกเสรีนิยม และเรายังต้องเผชิญกับพลังแห่งการพลิกผันของเทคโนโลยีเกิดใหม่อย่างปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) เข้าไปอีก เทคโนโลยีเหล่านี้เป็นทั้งโอกาส แต่ก็มีความเสี่ยงที่จะเพิ่มความเหลื่อมล้ำ กระจายข้อมูลเท็จ และเปลี่ยนโฉมอนาคตของการทำงานไปในทางที่อาจทำให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ตกอยู่ในความเปราะบางยิ่งกว่าเดิม
ความสิ้นหวังของคนรุ่นใหม่ และภาระของผู้นำ
สังคมพลเมืองที่เคยมีชีวิตชีวา บัดนี้กำลังหดตัวลงภายใต้แรงกดดัน งบประมาณที่ถูกตัดจากองค์การสหประชาชาติและเวทีพหุภาคี ซึ่งบ่อยครั้งก็มาจากชาติที่เป็นผู้สร้างและผู้สนับสนุนเดิม ได้ทำให้เรายิ่งอ่อนแอลงในช่วงเวลาที่เราต้องการความร่วมมือที่เข้มแข็งยิ่งกว่าเดิม โลกที่ต้องการความร่วมมือใกล้ชิด เพื่อแก้ไขปัญหาร่วมกัน กลับกลายเป็นโลกที่ประเทศต่างๆ ‘หันไปพึ่งพาตนเองมากขึ้น’ และถือว่าอนาธิปไตยเป็นกฎของเกม
แล้วคนรุ่นใหม่จะรู้สึกมั่นใจต่ออนาคตของพวกเขาได้อย่างไร? พวกเขาจะวางแผนชีวิตอย่างมั่นใจได้อย่างไร ในเมื่อสงครามยังคงดำเนินอยู่ สถาบันกำลังพังทลาย และความร่วมมือกำลังล้มเหลว? ความสิ้นหวังนี้ไม่ได้เป็นสิ่งที่คนรุ่นใหม่สร้างขึ้น แต่เป็นผลจากความล้มเหลวของภาวะผู้นำในอดีต โดยภาระจากผู้นำรุ่นก่อนช่างหนักหนาสาหัส แต่หน้าที่ของผู้นำในปัจจุบันก็ชัดเจนนั่นคือ ต้องแก้ไขสถานการณ์ ก่อนที่จะสายเกินไป
และนี่ไม่ใช่ปัญหาของไทยเพียงประเทศเดียว คนรุ่นใหม่ทั่วโลก ตั้งแต่กรุงเทพฯ ถึงมะนิลา ตั้งแต่เคียฟถึงกาซา ต่างก็มีความกังวลเหมือนกัน โลกที่เราจะได้รับมรดกนั้นจะน่าอยู่หรือไม่? เรามักเรียกเยาวชนคนรุ่นใหม่ว่าเป็น ‘ความหวังของอนาคต’ แต่เมื่อเรามองไปที่ภาระที่กำลังถูกส่งต่อ ทั้งสงคราม ความไม่มั่นคง การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความเหลื่อมล้ำ เราต้องถามว่า นี่ไม่ใช่ภาระที่ ‘หนักเกินไป’ สำหรับพวกเขาที่จะต้องรับไว้เพียงลำพังหรือ?
ถึงตอนนี้ ท่านอาจสังเกตได้ว่า ผมกำลังพูดกับผู้ใหญ่ในห้องนี้ไม่ต่างไปจากที่ผมพูดกับคนรุ่นใหม่ มิตรสหายและเพื่อนร่วมงานทั้งหลาย หากมีข้อความใดที่ผมอยากฝากไว้ในวันนี้ก็คือ คนรุ่นใหม่ไม่อาจและไม่ควรต้องแบกรับภาระเหล่านี้เพียงลำพัง ความรับผิดชอบในการสร้างอนาคตที่ยืดหยุ่นไม่ได้อยู่บนบ่าของพวกเขาเท่านั้น แต่เป็นความรับผิดชอบร่วมกันของพวกเราทุกคน
อนาคตที่ยืดหยุ่น สำหรับทุกคน
สำหรับประเทศไทย ความยืดหยุ่นจะขึ้นอยู่กับว่าผู้มีอำนาจสามารถ ‘รับฟังอย่างแท้จริง’ ต่อเสียงของคนรุ่นใหม่ได้หรือไม่ สามารถมองข้ามความเร่าร้อนของถ้อยคำ และหันมาโต้ตอบกับข้อโต้แย้งสำคัญของพวกเขาอย่างจริงใจได้หรือไม่
สำหรับอาเซียน ความยืดหยุ่นจะขึ้นอยู่กับว่าผู้นำจะสามารถปฏิรูปและลงมือร่วมกันได้หรือไม่ เพื่อให้องค์กรซึ่งมีอายุ 58 ปีนี้ ยังคงได้รับความเคารพ มีชื่อเสียง และมีความหมายต่อสายตาของพลเมืองที่อายุน้อยที่สุด
และสำหรับประชาคมระหว่างประเทศ ความยืดหยุ่นจะขึ้นอยู่กับว่าเราสามารถหาความกล้าหาญที่จะฟื้นฟูความไว้วางใจในความร่วมมือระดับโลกได้หรือไม่ สามารถป้องกันสงครามแทนที่จะทำสงคราม และสามารถเสริมสร้างสถาบันพหุภาคีที่คุ้มครองความเป็นมนุษย์ร่วมกันได้หรือไม่ ‘คนรุ่นใหม่อาจเป็นความหวังของอนาคต แต่ผู้ใหญ่ต้องเป็นผู้พิทักษ์ของความหวังนั้นในวันนี้’
ความหวังนั้นไม่อาจอยู่รอดได้ด้วยตัวเอง สิ่งนี้ต้องการพื้นที่ในการเติบโต ต้องการการสนับสนุนเพื่อคงอยู่ และต้องการภาวะผู้นำเพื่อทำให้มันมีความหมาย หากผู้นำในวันนี้ปฏิบัติด้วย ‘อนุกัมปา’ หรือ ความกรุณาและความเอื้ออาทร ที่ทำให้เราสามารถรับฟังและเข้าใจอย่างแท้จริง เราก็จะสามารถสร้างโลกที่คนรุ่นใหม่ไม่เพียงแต่แบกความหวัง แต่ยังได้เห็นความหวังนั้นบรรลุผลจนกลายเป็นจริง
ดังนั้น ผมจึงขอจบด้วยคำพูดของ ‘โฮเซ ริซัล’ (José Rizal) วีรบุรุษชาวฟิลิปปินส์และวีรบุรุษแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ว่า “เยาวชนคือความหวังของอนาคต” อย่าให้ความหวังนั้นกลายเป็นภาระที่หนักเกินกว่าจะรับไว้ได้ แต่จงทำให้ความหวังนั้นเป็นคำมั่นสัญญาที่เราทุกคนร่วมกันทำให้สำเร็จ
ภาพ: THE STANDARD