×

YOUNGOHM บทเรียนของเด็กถือป้ายคอนโด ที่ทำให้รู้ว่าชีวิตนี้ต้องกำหนดด้วยตัวเอง

18.05.2019
  • LOADING...
YOUNGOHM

HIGHLIGHTS

9 Mins. Read
  • YOUNGOHM ในวัยเด็กเรียนเก่งในระดับที่ติด 5 อันดับแรกของห้องมาตลอด แต่ตอนนั้นเขาตั้งใจเรียนเพราะยังไม่รู้ว่าเป้าหมายในชีวิตคืออะไร จนค่อยๆ เรียนรู้ความชอบของตัวเองที่มีต่อเพลงแรป และทุ่มเทชีวิตให้กับการทำเพลงตั้งแต่ช่วง ม.ปลาย
  • YOUNGOHM เคยต้องทำงานพาร์ตไทม์ช่วยญาติตัดต่อวิดีโอ เป็นพนักงานเสิร์ฟ และถือป้ายคอนโดเพื่อหาเงินมาทำเพลง โดยอาชีพหลังทำให้เขารู้ว่าชีวิตที่เลือกทางเดินด้วยตัวเองไม่ได้นั้นเจ็บปวดมากขนาดไหน
  • YOUNGOHM เชื่อว่าการมีแพสชันเป็นเรื่องที่ดี แต่ต้องมองความเป็นจริงควบคู่กันไปด้วยว่าจะสามารถสร้างรายได้จากสิ่งนั้นได้จริงหรือเปล่า
  • YOUNGOHM เคยตกอยู่ในช่วงเวลาที่ชีวิตขึ้นอยู่กับคำตัดสินของทั้งตัวเองและคนอื่น เขาเคยตอบโต้คนที่มาตัดสินเขาด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย รุนแรง ก่อนที่จะค่อยๆ ปล่อยวาง และใช้เพลงเป็นพื้นที่สร้างงานศิลปะในการตอบโต้ขึ้นมาแทน

 

YOUNGOHM

 

เกรี้ยวกราด หยาบคาย ตรงไปตรงมา สไตล์จัด มั่นใจในตัวเอง เพลงติดหู

 

คือคำนิยามอันดับแรกๆ ที่ลอยขึ้นมาในหัวเราทุกครั้งเวลามีคนพูดถึง รัธพงศ์ ภูรีสิทธิ์ หนึ่งในแรปเปอร์ไทยที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในวัย 20 ปี ที่ทุกคนรู้จักกันดีในชื่อ YOUNGOHM เจ้าของเพลงฮิตทะลุ 100 ล้านวิว อย่าง เฉยเมย, ธารารัตน์ และ ดูไว้ ที่มาพร้อมท่อนจำไวรัล

 

“ทำอะไรก็ได้กูไม่ได้ขอตังค์ใคร หามาด้วยตัวเองกูทำให้แม่ภูมิใจ” ที่บ่งบอกตัวตน และทัศนคติของเขาได้ชัดเจนยิ่งกว่ารอยสัก ภาพลักษณ์ เสียงร้อง เพอร์ฟอร์แมนซ์บนเวที หรือคำตัดสินใดๆ ที่คนภายนอกมองเข้ามา

 

ในวันที่กราฟชีวิตของเด็กหนุ่มวัย 20 ปีคนนี้กำลังพุ่งสูงสุด THE STANDARD POP มีโอกาสนั่งคุยกับเขาแบบใกล้ชิด ปิดทุกช่วงจังหวะของดนตรี เนื้อเพลงแรป และเสียงออโต้จูน เพื่อพาทุกคนไปทำความรู้จักกับตัวตนของเขาในมุมที่หลายคนไม่มีโอกาสได้เห็นมากนัก

 

ตลอดระยะเวลา 1 ชั่วโมงครึ่งที่ได้พูดคุยกัน คำตอบที่ตรงไปตรงมาของ YOUNGOHM ก็ช่วยยืนยันคำนิยามข้างบนได้เป็นอย่างดีว่าเราคิดไม่ผิด แต่สิ่งที่ทำให้เราประหลาดใจมากกว่านั้น คือหลายช่วงจังหวะในชีวิตของเขาไม่ได้ง่ายดายอย่างที่เราเคยคิด

 

โดยเฉพาะช่วงที่ต้องไปทำงานเป็นคนถือป้ายโฆษณาคอนโดเพื่อหาเงินมาทำเพลง ที่ทำให้เรียนรู้ว่าชีวิตที่เลือกไม่ได้แม้กระทั่งว่าจะได้กินเมื่อไรนั้นเจ็บปวดมากขนาดไหน เขาเลยหมกมุ่นและทุ่มชีวิตให้กับการทำเพลงอย่างบ้าคลั่ง เหมือนอีกท่อนในเพลงที่ว่า

 

“กูพยายาม กูพยายามมานาน มันถึงเวลา ได้สิ่งที่กูต้องการ”

 

และคงปฏิเสธได้ว่าในตอนนี้เป็นช่วงเวลาของ YOUNGOHM แล้วจริงๆ

 

เพลง YOUNGOHM – ดูไว้ (Doo White)

 

เด็กชายโอมมีช่วงเวลาวัยเด็กแบบไหน เติบโตมากับอะไรบ้าง ก่อนจะกลายเป็น YOUNGOHM ที่ทุกคนรู้จักในวันนี้

เป็นเด็กซน ชอบหาอะไรแปลกๆ เล่นตั้งแต่เด็ก ฝึกเล่นมายากล ฝึกทำระเบิด ลองทำระเบิดโน่นนี่นั่นตอน ม.ต้น ชอบเล่นเกมก็ลองแคสต์เกมดู ยังไม่ได้คิดอะไรมาก แค่รู้ว่าชอบอะไร อยากทำอะไร ผมจะลองทำทันที

 

แต่ตั้งใจเรียนนะครับ ผมติดท็อปไฟว์ตลอด แต่มันเป็นการเรียนเพราะยังไม่รู้ว่าเป้าหมายในชีวิตคืออะไร ตอนนั้นพ่อแม่ ครูบอกให้เรียนเราก็เรียน ถ้าตอนนั้นการเรียนคือสิ่งที่ดีเราก็เรียน แล้วความสนใจเรื่องดนตรีก็ยังไม่ชัด แค่เริ่มฟังเพลงบ้างแต่ยังไม่ได้จริงจังว่าจะต้องมาทำเพลงเป็นอาชีพ

 

จนถึงตอน ม.3 ที่ต้องเลือกว่าจะเรียนสายไหนต่อ ซึ่งภาพในโรงเรียนของผมตอนนั้นคือคนเรียนเก่งอะครับ (หัวเราะ) แน่นอนว่าทุกคนก็จะบอกให้ผมไปทางสายวิทย์-คณิต มันก็มีช่วงแอบลังเลเหมือนกันนะ เพราะเพื่อนสนิทเขาเรียนสายเดิมกันหมดเลย แต่ก็นั่นแหละ ถามตัวเองว่าเรียนตามเพื่อนแล้วได้อะไรวะ ในเมื่อสุดท้ายเราก็ต้องอยู่กับตัวเองอยู่ดี  

 

เพราะลึกๆ ผมไม่ได้ชอบการคำนวณอะไรพวกนั้น ผมอยากเรียนศิลปะ อยากเรียนอะไรที่มันสนุก หรืออยากเรียนภาษา เพราะผมชอบฟังเพลง อยากฟังเพลงแปลออก อยากคุยกับศิลปินต่างประเทศได้ ก็เลยดื้อขอเลือกเรียนอีกทางหนึ่งแทน

 

ในวันที่เป้าหมายชีวิตยังไม่ชัด โอมตอบคำถามของผู้ใหญ่ที่ว่า “โตขึ้นอยากเป็นอะไร” ว่าอะไร

ทหาร ตำรวจ หมอ ฯลฯ ตอบส่งๆ ไปเลยครับ อะไรก็ได้ที่เป็นคำตอบที่ดีสำหรับตอนนั้น แต่ก็ด่าตัวเองในใจตลอดว่า ไอ้ตอแ_ล โตมามึงไม่มีทางเป็นแบบนั้นหรอก (หัวเราะ) หรืออย่างผมเคยอยากเป็นนักบินอวกาศเพราะผมชอบเรื่องพวกนี้ แล้วจะมีบางครั้งที่โดนเบรกโดนตีกรอบว่าไม่มีทางเป็นไปได้หรอก ก็เลยตอบเหมือนคนอื่น

 

YOUNGOHM

 

ครั้งแรกที่โอมกล้าตอบคำถามคนอื่น ว่าจริงๆ แล้วตัวเองอยากเป็นแรปเปอร์คือตอนไหน

ผมไม่เคยบอกว่าอยากเป็นแรปเปอร์กับใครเลยสักคนเดียว (หัวเราะ) ผมรู้แค่ว่าชอบแรปผมก็เริ่มแรป แล้วผมก็เป็นแรปปอร์ตั้งแต่ ม.1 ที่เริ่มทำเพลงเลย โดยที่ไม่ต้องบอกใครว่ากูอยากแรป ผมว่าการอยากเป็นอะไรมันไม่ต้องปรึกษาใคร มันเป็นได้เลย ทุกวันนี้ไม่ว่าใครก็แรปได้ทั้งนั้น แต่จะแรปอย่างไรให้ได้เงิน ให้เป็นอาชีพ อันนี้สำคัญกว่า

 

อาจจะไม่ได้บอกใคร แต่อย่างน้อยการทำเพลงก็ต้องมีการเอาผลงานไปให้เพื่อนๆ ฟังบ้าง

ส่วนใหญ่ก็เพื่อนๆ ครับ แต่จะฟังคนเดียวมากกว่า เพราะตอน ม.ต้น ให้ใครฟังก็ไม่มีใครเข้าใจหรอก อาจจะมีบอกว่าเจ๋งดีๆ แค่นั้น ความสนใจตอนนั้นผมไปศึกษาเพลง ศึกษาชีวิตของศิลปินต่างประเทศ การเริ่มทำเพลงแรปตั้งแต่เด็กๆ เป็นเรื่องปกติของเขามาก แต่เพื่อนๆ ยังไม่มีใครสนใจเรื่องพวกนี้ เขาก็ดูละคร ดูซีรีส์อะไรไป เขาไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร

 

อย่างเพลงแรกที่ผมแต่งก็ไม่มีใครได้ฟังเลยนะ เป็นช่วง ม.1 ที่ผมชอบผู้หญิงคนหนึ่งแล้วอยากแต่งเพลงจีบเขา ซึ่งสุดท้ายเขาก็ไม่ได้ฟังอยู่ดี (หัวเราะ) ผมเขียนเนื้อลงไปในกระดาษ เปิดบีตของใครไม่รู้ในยูทูบ แล้วก็นั่งฟังคนเดียว อ่านคนเดียว ไม่รู้จะเอาไปให้เขาฟังอย่างไร จำเนื้อเพลงไม่ได้แล้วด้วย

 

แต่ที่จำได้คือผมมุ่งมั่นมากที่จะเขียนเพลงนี้ มีเรื่องอยากบอกเขาเยอะมากก็เขียนความรู้สึกลงไปในนั้น เหมือนได้ระบายลงในไดอะรี เพราะฉะนั้นจะฟินมากตั้งแต่เขียนเพลงเสร็จโดยที่ไม่ต้องให้เขาฟังด้วยซ้ำ หลังจากนั้นผมก็ชอบความรู้สึกฟินเวลาได้เขียนระบายความรู้สึกเป็นเพลง แล้วก็เริ่มทำมาตลอดตั้งแต่ตอนนั้น ไปเจออะไรมา รู้สึกแบบไหน ยังไม่ต้องบอกให้ใครรู้ก็ได้แต่เขียนมันออกมาเลย จนถึงช่วง ม.ปลาย ถึงจะเริ่มเอามาให้คนอื่นฟังแบบเยอะๆ

 

เพราะได้เจอเพื่อนที่ชอบฟังเพลงชอบแรปเหมือนกัน จากแรปคนเดียวมาเป็นมีเพื่อนที่แรปด้วยกันตลกๆ แรปสดกันทุกวัน มีเพื่อนคนหนึ่งทำบีตบ็อกซ์ได้ เดินไปไหนเจออะไรก็บอกว่า เฮ้ย มึงแรปเรื่องนี้ดิ ด่าไอ้คนนั้นดิ กลายเป็นได้แรปตลอดเวลา

 

เป็นช่วงเวลาที่สำคัญกับผมมากๆ เลยนะครับ เหมือนชีวิตเราเปลี่ยนไปเลย เพราะถ้าไม่มีเพื่อนผมอาจจะยังแรปคนเดียวอยู่บ้านเหมือนเดิมก็ได้ แต่พอมีเพื่อนที่เข้าใจ มีความสนุกไปด้วยกัน ไปงานแรปด้วยกัน เหมือนได้เจอโลกของเราอีกใบหนึ่ง ท่ีพาตัวตนของเราเข้าไปอยู่ในนั้นได้จริงๆ

 

กลุ่มเพื่อนคนอื่นๆ ในโรงเรียนเขามองโลกการแรปของโอมด้วยความรู้สึกแบบไหน

ก็สงสัยว่ามึงแรปอะไร ทำอะไรกันวะ บางคนเดินผ่านก็ขำ แต่พวกผมไม่สนแล้ว เพราะรู้ว่าการแรปนี่ล่ะเฟี้ยวที่สุดแล้ว (หัวเราะ) คนอื่นเขาไม่สนใจหรอกว่ามันเจ๋งอย่างไร คือเวลาเขามองว่าพวกผมทำอะไรกันวะ ผมก็คิดว่าพวกเขากำลังทำอะไรกันอยู่วะเหมือนกัน เพราะฉะนั้นปล่อยเขาตลกไป เรามีความสุขกับเพื่อนเรา กับการแรปของเราพอแล้ว

 

ผมมีความคิดแบบนี้มาตั้งแต่ตอนเด็กๆ แล้วด้วยนะครับ ตั้งแต่เล่นมายากล ที่ศึกษาจากในยูทูบว่า เฮ้ย เขาก็เปิดร้านขายของเล่นขายกลก็เป็นอาชีพได้ ผมคิดว่าทุกอย่างที่ทำแล้วสนุกมันสามารถเป็นอาชีพได้หมด ผมจริงจังกับทุกอย่าง ไม่เคยคิดจะทำอะไรเล่น มันเป็นงานที่ผมจริงจังกับมันมาตลอด

 

แล้วก็จริงจังจนไม่ได้เป็นเด็กเรียนดีเหมือนเมื่อก่อนเลยนะ (หัวเราะ) มันดึงๆ กันอยู่ ยังรู้ว่าการเรียนสำคัญ แต่คิดว่าการแรปสำคัญกว่า ไม่ได้เต็มที่กับการเรียนเหมือนก่อน เริ่มปล่อยปละละเลยบ้าง มาสายบ้าง โดดบ้าง จากที่ไม่เคยโดดเลย

 

YOUNGOHM

 

พ่อแม่ว่าอย่างไรบ้าง พอเห็นลูกที่เคยเป็นเด็กเรียนดี ตั้งใจเรียนน้อยลง

เขาก็เซ็งๆ บ่นว่าทำไมเป็นอย่างนี้ ผมก็บอกว่าช่างมันเถอะ บอกปัดๆ ไปว่าเดี๋ยวไปแข่งโน่นนี่นั่นได้เงิน คือเขาคงเชื่อในตัวผมนะ แต่อาจไม่เชื่อในสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่ เพราะเห็นว่าผมทิ้งการเรียนไปเลย เริ่มด่าว่าทำไมไปสนใจเรื่องไร้สาระ มีอยู่ครั้งหนึ่งเลยนะที่ผมจะออกจากบ้านแล้ว เพราะโดนมองเป็นคนไม่ดีไปแล้ว จนคิดว่าผมแค่ใช้ชีวิตไปกับสิ่งที่ผมรัก ทำไมต้องมาทนอะไรแบบนี้ ทำไมต้องโดนกดดัน ทำไมต้องร้องไห้ ก็คิดว่าไม่อยู่ให้รกบ้านดีกว่า ไปสู้ของผมเอง แต่สุดท้ายเขาไม่ให้ผมไปนะ ต้องขอบคุณเหมือนกันที่เขายอมให้ผมทำในสิ่งนี้ต่อ เพราะสำหรับผมตอนนั้นแรปสำคัญที่สุด มันไม่ไร้สาระแน่ๆ

 

หลังจากนั้นก็ใช้ชีวิตด้วยการทำเพลงอย่างเดียว โดยเฉพาะช่วงจบ ม. 6 ที่ว่างตอนรอเข้ามหาวิทยาลัยผมอยู่ในสตูดิโอทุกวัน ตื่นมาคิดแต่เรื่องเพลงอย่างเดียวว่าวันนี้จะอัดเพลงอะไร ต้องแต่งเพลงไหนต่อ จะโปรโมตอย่างไร หาสปอนเซอร์ที่ไหนมาทำเอ็มวี หมกมุ่นกับการหาเพลงที่มันดี จากที่เคยฟังแต่เพลงเดิมๆ ก็ไปหาฟังเพลงคนอื่นเยอะขึ้น เพื่อหาแนวทางที่เราจะเอามาทำเพลงให้มันแปลกกว่าคนอื่น ล้ำกว่าคนอื่นให้ได้

 

ทั้งที่ตอนนั้นยังไม่มีรายได้อะไรด้วยนะ แค่เริ่มได้เงินจากยูทูบนิดหน่อย เดือนละ 5,000-7,000 บาท แต่ผมไม่ได้ซีเรียสเพราะกำลังสนุกกับเพลงที่ได้ทำ สนุกที่ได้ทำให้คนอื่นอึ้ง สำหรับผมเป็นความรู้สึกที่ดีมากเลยนะ เวลาทำให้คนรู้สึกว่าโลกนี้น่าอยู่เพราะยังมีอะไรที่แปลกใหม่สวยงามเกิดขึ้น นั่นคือเหตุผลหลักๆ ในตอนนั้นที่ทำให้ผมยังทำเพลงอยู่ ได้เงินมาจะเล็กจะน้อยเท่าไรผมก็เอากลับมาลงทุนทำเพลงหมดเลย

 

โอมเลิกเรียนมหาวิทยาลัยหลังจากเรียนไปได้แค่ครึ่งวันเพื่อออกมาทำเพลงเต็มตัว ในแง่หนึ่งก็เป็นที่น่าชื่นชม ที่กล้าตัดสินใจทุ่มเทให้กับสิ่งที่รักแบบเต็มตัว แต่ในขณะเดียวกันก็น่าเป็นห่วงเหมือนกัน สำหรับหลายๆ คนที่อาจจะเอาวิธีของโอมเป็นตัวอย่าง เพราะคิดว่าถ้าตั้งใจมากพอจะสามารถประสบความสำเร็จได้

จริงที่การมีแพสชันเป็นเรื่องที่ดีมากๆ ในการผลักดันให้เราอยากทำอะไรอย่างตั้งใจที่สุด แต่เราต้องดูโลกความเป็นจริงด้วย ว่าถ้าเราทำตามแพสชันทั้งหมดแล้วไม่ประสบความสำเร็จเราจะเอาเงินจากไหนมาใช้ ผมว่ามันไม่แฟร์ที่จะต้องขอเงินพ่อแม่หรือคนอื่นมาใช้เพื่อความฝัน และตอบสนองแพสชันของเรา ทั้งที่ไม่รู้ว่าความฝันนั้นจะสำเร็จหรือเปล่า ผมรู้สึกว่ามันไม่มีศักดิ์ศรี และเราจะต้องคิดให้หนัก และยอมรับผลที่จะตามมาให้ได้

 

อย่างช่วงที่ไม่มีเงินผมก็ต้องออกไปหาเงิน ผมไม่นั่งโทษตัวเองว่าทำไมเกิดมามีไม่เท่าคนอื่น แค่ยอมรับว่า อ๋อ มึงไม่มีเงิน งั้นมึงก็ออกไปหาเงินมาเพื่อทำตามแพสชันของมึงซะ ต้องมองโลกจริงว่าเราต้องกินต้องใช้ เพราะฉะนั้นถ้ามีอะไรทำเงินได้ผมทำทุกอย่าง ตั้งแต่รับงานช่วยญาติตัดวิดีโอ เป็นพนักงานเสิร์ฟที่ MK หรือไปเป็นคนถือป้ายคอนโดริมถนน

 

YOUNGOHM

 

มีบทเรียนสำคัญเรื่องไหนบ้างที่โอมได้เรียนรู้จากการเป็นคนถือป้ายคอนโด ที่ต้องหลบแดดอยู่หลังป้าย โดยมีแค่กระติกใส่น้ำเป็นเพื่อนอยู่ข้างๆ ทั้งวัน

เหมือนชีวิตเราเป็นทาสครับ ตอนถือป้ายจะมีรถกระบะขับวนส่งข้าวให้ตามจุด ซึ่งเขาบอกผมว่าตอนเที่ยง แต่พวกผมยืนถือป้ายกันจนบ่ายสองข้าวก็ยังไม่มา ผมก็เดินไปกินข้าวแล้วค่อยกลับมาใหม่ แล้วก็โดนด่าว่าทิ้งป้ายไปได้อย่างไร บอกแล้วว่าจะเอามาให้ อย่างไรก็ต้องรอ ซึ่งตอนนั้นแหละที่ผมรู้สึกว่านี่คือชีวิตที่เราอยากเป็นเหรอ ชีวิตที่ต้องให้คนอื่นมากำหนดว่าเราต้องกินข้าวตอนนี้ ต้องนั่งรอไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่มาก็ไม่ได้กิน เป็นแรงผลักสำคัญเหมือนกันที่ว่า เราไม่อยากทำงานเป็นลูกน้องที่ต้องรับฟังคำสั่งจากใคร ผมอยากกำหนดชีวิตได้ด้วยตัวเอง

 

เพลง YOUNGOHM – เฉยเมย (Choey Moey)

 

เคยเจอกำแพงที่ทำให้รู้สึกว่า เราอาจจะไปต่อไม่ได้แล้วบ้างไหม ระหว่างที่หมกมุ่นทำเพลงอย่างเดียว ก่อนที่เพลง เฉยเมย จะออกมาแล้วแจ้งเกิดได้แบบเต็มตัว

 

ไม่ถึงกับเป็นกำแพงแต่ยากตอนที่ต้องค้นหาตัวเองให้เจอ ตอนแรกผมฟัง ILLSLICK แล้วก็ร้องเหมือนเขาเลย จนคนบอกว่า เฮ้ย ทำไมร้องเหมือน ILLSLICK เลย ซึ่งผมก็ไม่ทันรู้หรอกว่าเหมือน ผมแค่ร้องแบบที่ชอบ ต้องมาคิดใหม่ว่าจะทำอย่างไรให้ไม่เหมือนก็เลิกฟังไปเลย แล้วหาอย่างอื่นที่แปลกๆ เพื่อเอาความเป็นคนโน้นคนนี้มาผสมจนกลายเป็นตัวของผมเอง

 

ซึ่งเรื่องนี้ยากมากนะครับ เพราะทุกคนจะมีไอดอลของตัวเองที่อยากเป็นแบบนั้น แต่เราจะไปเหมือนเขา 100% ไม่ได้ เราจะสร้างความเป็นตัวเองขึ้นมาจากสิ่งที่ชื่นชอบมาตลอดได้อย่างไร

 

มีคำพูดของแรปเปอร์คนหนึ่งที่ว่า เขาเรียนรู้จากผู้ยิ่งใหญ่ จนวันนี้เขาได้เป็นผู้ยิ่งใหญ่จริงๆ ผมก็พยายามทำแบบนั้น เขาทำอย่างไรถึงจะสำเร็จ เรียนรู้จากคนอื่นให้มากๆ แล้วเอาแค่สิ่งที่ดีของทุกๆ คนที่เราเห็น และคิดว่าเป็นตัวเราที่สุดมาใช้ เพื่อสร้างตัวตนของเราขึ้นมา

 

YOUNGOHM

 

การเรียนรู้จากคนที่ยิ่งใหญ่ ทำให้เกิดความรู้สึกกลัวการเป็นคนธรรมดาที่ไม่ยิ่งใหญ่ขึ้นมาบ้างหรือเปล่า

ไม่เลยครับ ตอนเราเป็นคนธรรมดาก็จะมองเห็นข้อดีของการเป็นศิลปิน พอมาเป็นศิลปินก็เห็นข้อดีของคนธรรมดา ผมว่าเป็นคนธรรมดาแม่งโคตรดี สบายจัดเลย ทุกอย่างเป็นหยิน-หยางที่วนกันอยู่ ทุกเรื่องที่ดีทำให้เกิดเรื่องไม่ดีได้ ในขณะที่เรื่องไม่ดีก็ทำให้เกิดเรื่องที่ดีขึ้นได้เหมือนกัน

 

แต่ต้องยอมรับว่าตอนนี้ถ้าไม่ได้ไปต่างประเทศ เป็นนักท่องเที่ยวเดินบนถนนคนหนึ่ง ผมคงเป็นคนธรรมดาไม่ได้แล้ว ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากนะ แต่เพราะหน้าที่การงานและสิ่งที่คนอื่นเห็นว่าผมเป็น ลึกๆ ผมแค่เป็นคนธรรมดาที่ทำเพลงคนหนึ่ง ไม่ได้พิเศษ ไม่ได้ยิ่งใหญ่กว่าคนอื่น ยังไปเดินเล่นในตลาด เพียงแต่ว่าคนอื่นมองผมไม่เหมือนเดิมแล้ว

 

บางทีผมเลยรู้สึกแปลกๆ เวลามีคนมาขอถ่ายรูปกับผม หรือชื่นชอบผมมากๆ บางทีเหมือนผมยิ่งใหญ่มากเลย แต่สำหรับผมคิดว่าทุกคนเท่ากันหมด ไม่ว่าจะศิลปิน แม่ค้า พนักงานเสิร์ฟ หรือคนถือป้ายคอนโด ผมก็ไม่ได้พิเศษกว่าใคร แค่ผมไม่ยอมและสู้มาตลอดแค่นั้นเอง

 

YOUNGOHM

 

เกิดอะไรขึ้นหลังจากที่เพลง เฉยเมย ประสบความสำเร็จ ทำให้โอมมีเงิน มีงาน มีชื่อเสียง แต่ก็เกิดภาวะซึมเศร้าเพราะคิดถึงเพื่อนอีก 2 คนที่เคยทำเพลงด้วยกันมา

ไม่ได้มีมากหรอกครับ แต่พอผมพุ่งมากๆ ไลฟ์สไตล์ผมต้องออกไปทัวร์ที่อื่นๆ ทุกวัน จากเดิมที่อยู่ในสตูฯ กับเพื่อนอย่างเดียว เครียดหรือมีปัญหาอะไรก็ปรึกษาเพื่อน แต่กลายเป็นผมไม่มีเวลาให้เพื่อนเหมือนเดิม พอผมว่างเพื่อนก็ไม่ว่าง กลายเป็นความเครียดสะสมที่เก็บกด รู้สึกว่าชีวิตตอนนั้นไม่ดีเลย ผมไม่อยากได้เงินหรือชื่อเสียงอะไรแล้ว ผมแค่อยากมีเพื่อนอยากสนุกเหมือนเดิม ก็อยู่ในภาวะแบบนั้นประมาณ 3 เดือน ตอนออกทัวร์ใหม่ๆ ก็ถามตัวเองตลอดเลยว่าความสุขที่เคยมีหายไปไหน

 

ทำไมถึงไม่รวมกลุ่มทำเพลงกับเพื่อนต่อ ออกทัวร์ด้วยกัน จะได้ไม่เกิดปัญหาที่ว่าโอมประสบความสำเร็จอยู่คนเดียว

ผมอยากให้เขาลองทำด้วยตัวเองก่อน ผมไม่อยากเป็นคนที่ดันเพื่อนขนาดนั้น เพราะผมก็ทำของผมเอง ไม่ได้มีใครดันขึ้นมา ผมรู้สึกได้ว่าเวลาทำอะไรได้ด้วยตัวเองแล้วมันให้ความภูมิใจที่หอมหวานขนาดไหน ผมไม่อยากให้เพื่อนเป็นแค่ลูกกะจ๊อกติดตามผม แล้วเดี๋ยวก็มีคนมาบอกว่าไอ้นี่มันเกาะโอมดัง

 

ผมอยากให้มันทำกันเอง ผมอยากให้ทุกคนทำช่องตัวเอง มึงทำเพลงเองนะ เพลงไหนอยากให้กูไปฟีเจอริงด้วยก็ส่งมา เดี๋ยวมาทำด้วยกัน แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาจะเข้าใจความรู้สึกแบบนี้หรือเปล่า แต่ผมจะไม่ยอมดันเพื่อนขึ้นมาทั้งๆ ที่เพื่อนไม่ได้เจ๋งเอง ผมอยากให้เพื่อนผมพิสูจน์ด้วยตัวเองไปก่อนว่ามันเจ๋งจริงๆ มันสู้จริงๆ มันพยายามจริงๆ ไม่ใช่ว่ากูดังปุ๊บมึงก็เกาะกูมาดัง ง่ายๆ แค่นั้น มันอาจจะมีความหมายในระยะสั้นๆ แต่ในระยะยาวหลังจากนั้น ถ้าผมไม่ดังแล้วล่ะ แล้วมันจะทำอะไรกัน นั่นคือพอยต์ที่ผมไม่เคยช่วยเพื่อนในทางที่ผิด

 

ช่วงที่หนักมากๆ มันมีความรู้สึกผิดแบบเกลียดตัวเอง โทษตัวเองเหมือนกันที่เราพุ่งมาขนาดนี้ เราคิดถึงเพื่อนแต่กลับไปหาเพื่อนไม่ได้แล้ว แล้วก็อีกเรื่องที่ยังคิดมาถึงตอนนี้คือ ทำไมพวกมึงไม่สู้ มึงไม่อยากมายืนข้างกู มาเฉิดฉายข้างกูเหรอ

 

เพลง YOUNGOHM – จุดแล้วก็วน (Acoustic Song)

 

มองเห็นภาพอะไรชัดเจนที่สุด เวลาคิดถึงช่วงเวลาเก่าๆ ที่เคยมีความสุขตั้งแต่เด็กๆ ผ่านความทุกข์ จุดตกต่ำ จนมาถึงทุกวันนี้

เห็นทุกภาพเลยครับ ทุกประสบการณ์ เพื่อน การทำเพลง การใช้ชีวิตและทุกอย่าง คือสิ่งที่หลอมทุกอย่างในวันนี้ ผมอยู่ได้ทุกที่ไม่ว่าเป็นแบบไหน จะเด็กวัดหรือไฮโซผมชอบทั้งหมด เพราะทุกอย่างทุกที่มีเสน่ห์ของมัน ทุกวันนี้ผมนิ่งขึ้นเพราะประสบการณ์สอนให้ผมได้เรียนรู้คนหลายๆ แบบ ทุกคนมีเอกลักษณ์ของตัวเอง ทำให้เราไม่ตัดสินใจจากอคติ เราติดสินใครไม่ได้ ทำได้แค่ทำความรู้จักเขาอย่างเดียว

 

YOUNGOHM

 

แต่โอมเป็นหนึ่งในคนที่ถูกคนอื่นๆ ตัดสินอยู่ตลอดเวลา

ก็เป็นธรรมดาของโลกนี้นะครับ แต่พอเราอยู่ในจุดที่ต้องมองเห็นกันกว้างๆ เราจะรู้ว่าทุกคนมองเห็นภาพอะไรไม่เหมือนกัน ยกตัวอย่างง่ายๆ เรื่องแนวเพลง เมื่อก่อนเราก็จะพูดกันว่า กูร็อกว่ะ กูป๊อป กูฮิปฮอปนะโว้ย แล้วก็เหยียดเพลงอื่นๆ ที่ไม่ใช่แนวของเรา แต่ตอนนี้ฮิปฮอป ป๊อป ร็อก มันผสมกันหมด ผมว่ามันถึงยุคที่ควรเลิกตัดสินกันได้แล้วว่าไอ้นั่นไม่ดี ไอ้โน่นไม่ดี เพราะในความเป็นจริงมันดีทั้งหมด เพียงแต่ดีของแต่ละคนไม่เหมือนกัน

 

อยู่ที่ว่าเรามองด้วยความอคติหรือเปล่า ถ้าอคติเราจะเอาด้านไม่ดีมาพูด แต่ถ้ามองด้วยความเปิดใจ เราจะเห็นว่าไม่มีอะไรที่ดีหรือเลวอย่างเดียว ทุกอย่างเป็นสีเทาๆ ถ้าไม่ได้ไปสัมผัสในมุมมองนั้น เราไม่มีทางรู้หรอกว่าความจริงเป็นอย่างไร บางทีเห็นคนมีรอยสักเต็มตัวแล้วไปตัดสินว่าคนนี้แม่งโหด ทั้งที่จริงๆ เขาอาจจะรักแมว รักเด็กมากๆ ก็ได้

 

เคยมีช่วงที่เศร้า เครียด กดดันกับคำตัดสินต่างๆ มามากน้อยขนาดไหน ก่อนมาถึงจุดปล่อยวาง ไม่ตัดสินด้วยอคติได้

โอ้โห เมื่อก่อนไม่เคยยอมรับหรอกครับ (หัวเราะ) เวลาใครมาด่าผมด่าคืน อ๋อ มึงตัดสินกูใช่ไหม งั้นกูตัดสินมึงกลับ บอกว่ากูไม่ดีอย่างนี้ แล้วมึงดีกว่ากูตรงไหน ไปไฝว้กับเขามาหมด แต่ตอนนี้รู้สึกว่าผมไม่ต้องไปสนใจใครแล้ว เพราะทุกการกระทำทุกผลงานของผมบอกไปหมดแล้วว่าผมเป็นใครและทำอะไรอยู่ นั่นคือสิ่งที่สำคัญที่สุด

 

ใครจะพูดอะไรก็พูดกันไป ผมก็ดูแลตัวเอง มีความสุข ดูแลครอบครัว ดูแลคนรอบตัวไปแค่นั้นเอง ผมคิดว่าคนที่มีความสุขในชีวิต มีหน้าที่การงาน มีทุกอย่างดี เขาไม่มานั่งตัดสินคนอื่นว่าเป็นอย่างโน้นอย่างนี้หรอก เพราะตัดสินหรือว่าใครไปก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตมีความสุข มีแต่สิ่งที่แย่ๆ ออกจากความคิดและคำพูดของเราเอง เอาเวลาไปทำในสิ่งที่รัก และทำให้ชีวิตมีความสุขดีกว่า

 

YOUNGOHM

 

แต่หลายๆ ครั้งก็จะเห็นว่าโอมใช้เพลงเป็นเครื่องมือในการตอบโต้คำตัดสินหรือคำวิจารณ์เหล่านั้น แทนการออกมาโต้ตอบด้วยคำพูดเหมือนกัน

ใช่ครับ เพราะเพลงคือที่ที่ผมพูดได้ทุกอย่าง บางทีผมโกรธนะที่มีคนมาตัดสิน แต่ผมไม่พูด ใช้เขียนเพลงออกมาแทน แรปเป็นเซฟโซนที่ผมได้ใช้ศิลปะถ่ายทอดความรู้สึกทุกอย่าง แต่ในโลกความจริงผมไม่อยากให้ใครมาด่ากันแบบนั้น

 

เพราะใครๆ ก็สามารถพิมพ์คอมเมนต์หรือออกมาด่ากันเฉยๆ ได้หมด แต่ในแรปมันคือเกม มึงโกรธอะไรกูพูดมาเลย ถ้าเป็นความจริงกูยอมรับ แล้วเราโต้ตอบกันแบบนั้น อย่างน้อยถึงจะด่ากันไม่ชอบกัน แต่มันก็เกิดเป็นงานศิลปะขึ้นมา เพราะการทำเพลงไม่ได้ง่ายขนาดต้องมีฝีมือ ต้องผ่านการคิด แสดงว่าเขาต้องเห็นว่าจุดนั้นมันเป็นปัญหาจริงๆ ไตร่ตรองอย่างดีก่อนคิดเป็นเนื้อเพลงออกมา

 

ถึงแม้เพลงนั้นอาจจะเป็นเพลงที่ไม่ได้ดีมากก็ได้นะ แต่อย่างน้อยผมจะเคารพคุณ เพราะคุณได้สร้างงานศิลปะขึ้นมา มันเป็นวัฒนธรรมฮิปฮอปอย่างหนึ่งด้วยที่ดิสเครดิตกันด้วยเพลง เพราะฉะนั้นใครอยากสู้กับผม มาสู้ด้วยผลงานดีกว่า แล้วผมจะใส่คุณกลับเหมือนกัน เป็นอะไรที่สนุกนะ เหมือนต่อยมวย

 

เคยมีเหตุการณ์ในช่วงก่อนหน้านั้น ที่รู้สึกว่าเป็นความผิดพลาดฝังใจที่เกิดจากการที่โอมไปด่าหรือไปตัดสินคนอื่นบ้างไหม

 

ครั้งที่ผมไปไลฟ์สดด่าแฟนคลับของแรปเปอร์อีกคนหนึ่ง ที่เหมือนมาแขวะผมแล้วผมหัวร้อน แล้วไปด่า ไปดูถูก ไปตัดสินเขา ด้วยความโมโหด่าแบบไอ้เ_ย มึงโง่ว่ะ แบบหยาบคายเลยนะ เหตุผลอย่างเดียวคือคิดว่าตัวเองถูกต้อง พอโดนด่าต้องด่าคืน

 

สุดท้ายเลยกลายเป็นปมในใจผมมากๆ เลยนะ เพราะมันมีแต่สิ่งแย่ๆ ออกไปจากปากเรา เราเกลียดการดูถูกเหยียดหยาม แต่ดันไปทำแบบนั้นเอง หลังจากนั้นคิดว่าผมจะไม่ทำอย่างนั้นกับใครแล้ว ต่อไปถึงผมจะโมโห ผมจะใช้สติให้เหตุผลให้มากกว่าเดิม ถ้าไม่ชอบอะไรเราจะไม่ทำ มันน่ากลัวมากนะครับ หลายครั้งที่อะไรที่เราไม่ชอบ มันกลืนกินเราจนกลายเป็นสิ่งนั้นเอง ผมไม่อยากเป็นแบบนั้นแล้ว ไปพูดในเพลงดีกว่า (หัวเราะ)

 

YOUNGOHM YOUNGOHM

 

ลองคิดภาพจากงานภูเก็ตที่เป็นข่าวครั้งล่าสุด ถ้าเป็นโอมในวัยเด็กๆ คิดว่าแอ็กชันที่ออกมาในตอนนั้นจะเป็นแบบไหน

ผมก็คงไลฟ์สดด่า ณ ตอนนั้นเลย (หัวเราะ) แต่ด้วยความที่ผมเรียนรู้แล้วก็ปล่อยวาง แค่พูดความจริงออกไป แล้วพอรับมือแบบนี้มันรู้สึกดีขึ้นทันทีเลยนะครับ อย่างน้อยก็ไม่มีอะไรแย่ๆ ที่ออกจากตัวเราไป ดีกว่าที่พูดแย่ๆ ใส่กันไปมา แล้วจะยิ่งแย่ไปกันใหญ่ อยู่นิ่งๆ แล้วคอยแก้ปัญหาให้คนเห็นกันเองดีกว่าว่าเป็นอย่างไร

 

ถ้าดูจากกราฟชีวิตของโอมตอนนี้ กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นของชีวิต ผลงานประสบความสำเร็จ มีชื่อเสียง ปล่อยวางได้ดีมากขึ้น ยังมีเรื่องอะไรอีกบ้างไหม ที่ทำให้รู้สึกเป็นทุกข์หรือยังไม่สามารถปล่อยวางได้สักที

 

เรื่องไม่มีเวลาได้ทำในสิ่งที่อยากทำเจ็บปวดที่สุดแล้วครับ เวลาเป็นสิ่งที่ผมหาได้ยากที่สุดในตอนนี้ ยากกว่าการหาเงินอีก เพราะตอนนี้ผมต้องใช้เวลาเกือบทั้งหมดไปกับการออกทัวร์หนักมาก บางช่วงเล่นจนรู้สึกเบื่อแล้วอะ ไปร้องเพลงเดิมๆ ทุกวัน แต่ก็หยุดไม่ได้เพราะมันคืองานที่ต้องทำ แล้วไม่ใช่แค่ตัวผม ถ้าผมหยุดเล่นคอนเสิร์ต หมายถึงว่ารายได้ของทีมงานจะลดลงไปด้วย

 

ถ้าตัดเรื่องพวกนี้ออกไปแล้วเหลือแค่ตัวผมคนเดียว ผมจะหยุดงานทุกอย่างไปเลย 3 เดือน นั่งเล่น เข้าไปหมกตัวทำเพลงในสตูดิโอ ไม่ต้องไปร้องเพลงจนเสียงแหบทุกวันแบบนี้

 

คิดว่ามันภาระที่กำลังแบกอยู่หนักเกินไปสำหรับคนอายุ 20 ต้นๆ บ้างหรือเปล่า

ไม่ครับ เมื่อเราได้สิ่งหนึ่งก็ต้องเสียสิ่งหนึ่งเป็นเรื่องธรรมดา ผมได้อะไรที่คนอื่นไม่ได้มา ผมก็ต้องเสียอะไรที่คนอื่นเขาได้รับไป มันเป็นอะไรที่ยุติธรรมดีแล้ว สิ่งที่ผมต้องทำไม่ใช่มาเครียดหรือโทษอะไร ผมแค่เดินทางของผมต่อไป แล้วหาวิธีว่าจะทำอย่างไรให้ทุกอย่างดีขึ้นในทุกๆ วัน

 

สุดท้าย ขอย้อนกลับไปเรื่องที่พ่อแม่เคยยอมลดความเชื่อของตัวเอง แล้วให้โอมได้ทำเพลงในแบบที่ต้องการเต็มตัว มันมีจุดไหนบ้างที่ทำให้เขารู้สึกว่าคิดถูกแล้วที่ตัดสินใจแบบนั้น

จุดที่เริ่มส่งเงินให้เขาทุกเดือนครับ (หัวเราะ) ผมเริ่มทำเป็นปีแล้วนะ เขาก็มาคุยกับเราตลอด ดูภูมิใจในสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่ อย่างยายของผมก็จะมาบอกตลอดว่าไม่เคยคิดเลยว่าจะทำได้จริงๆ ผมก็จะตอบกลับไปว่าไม่ต้องห่วงหรอก ผมโหดอยู่แล้ว (หัวเราะ) บางเพลงที่ผมร้องเมาๆ เขาก็ยังบ่นอยู่นะ ว่าร้องอะไรวะ ฟังไม่รู้เรื่อง แต่เวลาไปเจอคนอื่นก็จะชอบโม้ว่า หลานฉันร้องเพลงอย่างโน้นอย่างนี้นะ

 

ของผมเลยไม่ได้มีโมเมนต์ที่พิเศษอะไร นอกจากนั้นจริงๆ แค่อย่างน้อยการที่ผมส่งเงินให้เขาได้ มันไม่ได้มีความหมายแค่ตัวเงินอย่างเดียว แต่มันหมายถึงว่าผมดูแลตัวเองได้แล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงอะไรลูกและหลานคนนี้แล้วนะ ไม่ต้องปวดหัวแล้ว ตอนนี้ผมมีชีวิตของผม มีรายได้ เขาก็ดูจะลดความเครียดลงไปได้เยอะ จากการที่เราให้เงินเขาเท่านั้นเอง (หัวเราะ)

 

สไตล์: ฐิติกาญจน์ กาญจนภักดี

แต่งหน้า: ขวัญข้าว สุมาลี

เสื้อผ้า: P.MITH

พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X