ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ถนนหลายสายทั่วฝรั่งเศสกว่า 2,000 จุดเป็นอัมพาต เนื่องจากกลุ่มผู้ชุมนุมเกือบ 300,000 คนพร้อมใจกันสวมเสื้อกั๊กสีเหลืองออกมารวมตัวประท้วงรัฐบาล หลังตัดสินใจขึ้นภาษีน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อให้พลเมืองฝรั่งเศสหันมาใช้พลังงานสะอาดกันเพิ่มมากขึ้น
โดยหลายฝ่ายมองว่านโยบายส่วนใหญ่ของประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง เป็นนโยบายสำหรับสนับสนุนกลุ่มคนรวยเท่านั้นและถอดทิ้งกลุ่มคนรากหญ้าในสังคม ล่าสุดมีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 1 คน และมีผู้ได้รับบาดเจ็บจากการปะทะกันมากกว่า 400 คน ในจำนวนนี้ 14 คนได้รับบาดเจ็บสาหัส
ราคาน้ำมันดีเซลซึ่งส่วนใหญ่ใช้เป็นเชื้อเพลิงในรถยนต์เพิ่มสูงขึ้นกว่า 23% ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา โดยอยู่ที่ลิตรละ 1.51 ยูโร (ราว 56 บาท) นับเป็นราคาน้ำมันที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษ 2000 เพื่อสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาดภายในประเทศ รองรับเป้าหมายที่จะยุติการจำหน่ายรถยนต์ใหม่ที่ใช้น้ำมันเบนซินและดีเซลเป็นเชื้อเพลิงภายในปี 2040
ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นก่อนที่จะตกลงในท้ายที่สุด ในขณะที่รัฐบาลมาครงยืนยันเดินหน้าปรับขึ้นภาษีไฮโดรคาร์บอนในปีนี้ โดยน้ำมันดีเซลเพิ่ม 7.6 เซนต์ต่อลิตร ในขณะที่น้ำมันเบนซินปรับเพิ่ม 3.9 เซนต์ต่อลิตร ก่อนที่เตรียมจะปรับขึ้นภาษีอีกครั้งในวันที่ 1 มกราคม 2019 ซึ่งหลายฝ่ายมองว่านั่นจะเป็นฟางเส้นสุดท้ายก่อนที่พลเมืองฝรั่งเศสจะลุกฮือครั้งใหญ่อีกครั้งหากยังไม่มีการปรับแก้ในเรื่องนี้ ถือเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดของประธานาธิบดีมาครงนับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งเมื่อปี 2017
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
อ้างอิง: