เจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ออกโรงเรียกร้องให้บรรดาผู้นำทางธุรกิจให้ความร่วมมือกับรัฐบาลประธานาธิบดี โจ ไบเดน ในการจ่ายภาษีในสัดส่วนที่สูงขึ้น เพื่อสนับสนุนมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายของรัฐบาล ควบคู่ไปกับการสนับสนุนสหภาพแรงงานและลดอุปสรรคทางการแข่งขันกับบริษัทต่างชาติที่จะเข้ามาลงทุนในสหรัฐฯ
ข้อเรียกร้องข้างต้นของเยลเลนมีขึ้นระหว่างการขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ที่หอการค้าสหรัฐฯ โดยรัฐมนตรีคลังหญิงย้ำว่า ทางทำเนียบขาวมีความตั้งใจที่จะขึ้นภาษีบริษัทและผู้ที่มีรายได้สูง เพื่อใช้เป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนแผนยกระดับโครงสร้างสาธารณูปโภคขึ้นพื้นฐานที่จะกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ต่อไป
ขณะเดียวกัน เยลเลนระบุว่า รัฐบาลกำลังพิจารณาภาษีขั้นต่ำขององค์กรทั่วโลก เพื่อระงับไม่ให้บริษัทต่างๆ โยกย้ายฐานการผลิตเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีที่สูงขึ้นในสหรัฐอเมริกา
สำหรับเป้าหมายของเยลเลนที่ออกมาเรียกร้องในครั้งนี้เพื่อส่งสัญญาณให้บรรดาองค์กรธุรกิจเตรียมพร้อมที่จะตอบรับนโยบายภาษีของรัฐบาล โดยเยลเลนย้ำว่า การจ่ายและคืนภาษียังคงยึดตามบรรทัดฐานที่เป็นธรรมกับทุกฝ่าย และปัจจุบันนี้ภาษีนิติบุคคลของสหรัฐฯ ถือว่าอยู่ในระดับต่ำเป็นประวัติการณ์คือ 1% ของ GDP ทำให้ทางรัฐบาลเชื่อมั่นว่า ภาคธุรกิจสามารถมีส่วนร่วมกับความพยายามของรัฐบาลในขณะนี้ได้
ด้านตลาดหุ้น Wall Street สหรัฐฯ วานนี้ (18 พฤษภาคม) ปิดตลาดปรับตัวอยู่ในแดนลบ ตามแรงเทขายของหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีและข้อมูลในภาคอสังหาริมทรัพย์ที่อ่อนแอ โดยแม้จะมีข่าวดีของผลประกอบการของ Walmart และ Home Depot แต่ก็ไม่มากพอที่จะฉุดหุ้นให้ฟื้นขึ้นมาได้ โดยดัชนีอุตสาหกรรม Dow Jones ปรับตัวร่วงลงกว่า 260 จุด
ทั้งนี้ ดัชนีอุตสาหกรรม Dow Jones ปรับตัวลดลง 267.13 จุด หรือ 0.78% ปิดที่ 34,060.66 จุด ดัชนี S&P 500 ลดลง 35.46 จุด หรือ 0.85% ปิดที่ 4,127.83 จุด และดัชนี Nasdaq Composite ลดลง 75.41 จุด หรือ 0.56% ปิดที่ 13,303.64 จุด
ทั้งนี้ หุ้นรายใหญ่ในกลุ่มเทคโนโลยี อย่าง Apple, Amazon, Facebook และ Alphabet ต่างปรับตัวร่วงลงมากกว่า 1% ขณะที่กระทรวงพาณิชย์เปิดเผยตัวเลขการก่อสร้างบ้านในสหรัฐฯ ลดลงเกินคาดในเดือนเมษายนที่ 9.5% ซึ่งน่าจะได้รับผลกระทบจากราคาไม้และวัสดุอื่นๆ ที่เพิ่มสูงขึ้น
ด้านหุ้นของ Walmart ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า 2% หลังเผยรายงานยอดขายสินค้าและยอดขายอีคอมเมิร์ซรายไตรมาสเติบโตขึ้น ขณะที่ราคาหุ้นของ Home Depot เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 3.86 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น
อ้างอิง: