เมื่อวานนี้ (16 พฤศจิกายน) สีจิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ให้คำมั่นว่าจะทำงานร่วมกับ โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่กำลังจะเข้ารับตำแหน่งในอีก 2 เดือนข้างหน้านี้ ในการพบปะครั้งสุดท้ายกับ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระหว่างการประชุม APEC ที่กรุงลิมา ประเทศเปรู
ทั้ง 2 ผู้นำได้หารือกันนอกรอบการประชุมประจำปี โดยได้กล่าวถึง ‘ความสัมพันธ์ที่มีทั้งขึ้นและลง’ ตลอด 4 ปีที่ไบเดนดำรงตำแหน่ง แต่ก็เน้นย้ำถึงความก้าวหน้าในการลดความตึงเครียดในประเด็นต่างๆ เช่น การค้าและไต้หวัน
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีนอาจเผชิญกับความผันผวนมากขึ้นเมื่อทรัมป์กลับมาดำรงตำแหน่ง โดยเฉพาะจากคำมั่นสัญญาของทรัมป์ที่ประกาศว่าจะเพิ่มภาษีศุลกากร 60% สำหรับสินค้านำเข้าจากจีน และการแต่งตั้งผู้ที่มีจุดยืนแข็งกร้าวต่อจีนในตำแหน่งสำคัญด้านการต่างประเทศและกลาโหม ซึ่งหากย้อนไปดูในสมัยแรกของทรัมป์ เขาระบุว่าจีนเป็น ‘คู่แข่งเชิงกลยุทธ์’ (Strategic Competitor) ต่อเนื่องจนถึงความสัมพันธ์ที่ย่ำแย่ลงเมื่อเขาเรียกโควิดว่าเป็น ‘ไวรัสจีน’ ระหว่างการระบาดใหญ่
ทั้งนี้ ในระหว่างการประชุม APEC สีจิ้นผิงกล่าวว่า เป้าหมายของจีนยังคงเป็นการรักษาความสัมพันธ์ที่มั่นคงกับสหรัฐฯ พร้อมเสริมว่า “จีนพร้อมที่จะทำงานร่วมกับรัฐบาลใหม่ของสหรัฐฯ เพื่อรักษาการสื่อสารระหว่างกัน การขยายความร่วมมือ และการบริหารจัดการความแตกต่าง”
ด้านไบเดนย้ำว่า การแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์ระหว่าง 2 ประเทศมหาอำนาจไม่ควรนำไปสู่สงคราม “ประเทศของเราไม่สามารถปล่อยให้การแข่งขันนี้กลายเป็นความขัดแย้งได้ นั่นคือความรับผิดชอบของเรา และตลอด 4 ปีที่ผ่านมาเราพิสูจน์แล้วว่าสามารถรักษาความสัมพันธ์นี้ได้”
ตลอดเวลาที่ไบเดนดำรงตำแหน่ง ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีนเผชิญกับปัญหาหลายประการ เช่น กรณีบอลลูนสอดแนมและการแสดงแสนยานุภาพทางทหารของจีนใกล้ไต้หวัน หลังจากการเยือนของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ
ด้านจีนยังคงมองไต้หวันเป็น ‘เส้นแดง’ (Red Line) โดยย้ำว่า จีนมีอธิปไตยเหนือเกาะแห่งนี้ ขณะที่สหรัฐฯ ภายใต้ไบเดนยังคงยืนหยัดในการสนับสนุนไต้หวันและเสริมความแข็งแกร่งให้กับพันธมิตรด้านกลาโหมในเอเชีย-แปซิฟิก เพื่อสกัดกั้นอิทธิพลของจีนในภูมิภาค
.
บอนนี เกลเซอร์ ผู้อำนวยการโครงการอินโด-แปซิฟิกแห่ง German Marshall Fund ชี้ว่า จีนอาจกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของทรัมป์ที่กำลังจะเข้ามารับตำแหน่ง แต่ก็ดูเหมือนพร้อมที่จะเจรจาและทำข้อตกลงในช่วงต้นกับทีมงานของทรัมป์ แต่ในขณะเดียวกันก็เตรียมพร้อมที่จะตอบโต้ หากทรัมป์ยังยืนกรานเพิ่มภาษีสินค้านำเข้าจากจีน
ในช่วงท้ายของการประชุมไบเดนกล่าวว่า การหารือกับสีจิ้นผิงนั้นเป็นไปอย่าง ‘ตรงไปตรงมา’ และ ‘เปิดเผย’ โดยทั้ง 2 คนได้พบกัน 3 ครั้งระหว่างที่ไบเดนดำรงตำแหน่ง หนึ่งในนั้นคือการประชุมสุดยอดที่สำคัญในปีที่แล้วที่ซานฟรานซิสโก ซึ่งบรรลุข้อตกลงร่วมกันในประเด็นยาเสพติดและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
อย่างไรก็ตาม ไบเดนยังคงใช้นโยบายที่ต่อเนื่องจากยุคทรัมป์ เช่น การคงภาษีศุลกากรสำหรับสินค้าจีน และยังได้กำหนดภาษีเพิ่มเติมในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า แผงโซลาร์เซลล์ และเหล็กจากจีน
ทั้งนี้ การพบปะครั้งนี้จึงเป็นจุดสิ้นสุดที่สำคัญในความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศในยุคไบเดน ก่อนที่ทรัมป์จะเข้ามาดำรงตำแหน่ง ซึ่งน่าจับตาว่าจะสร้างแรงกระเพื่อมให้ความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใด
ภาพ: Leah Millis / Pool / Reuters
อ้างอิง: