ก่อนนัดชิงฟุตบอลโลกระหว่าง อาร์เจนตินา พบ ฝรั่งเศส จะเริ่มเปิดฉากฟาดแข้งคืนนี้ เวลา 22.00 น. ตามเวลาประเทศไทย
THE STANDARD ขอพาแฟนบอลนั่งไทม์แมชชีน ย้อนเวลาไปชม 5 เหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลกในอดีต ซึ่งแม้เวลาจะผ่านล่วงมาหลายสิบปี แต่เหตุการณ์ทั้งหมดล้วนเป็นภาพประวัติศาสตร์ที่แฟนบอลทั้งโลกไม่เคยลืมเลือน
ฟุตบอลโลก 2002│Super R9
‘อิล เฟโนเมโน’ โรนัลโด นาซาริโอ เหมือนชีวิตถูกสาปหลังเกิดความผิดปกติก่อนนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก 1998 ที่กลายเป็นปริศนาจนถึงทุกวันนี้ และหลังจากนั้นบาดเจ็บที่เข่าเข้าขั้นสาหัสถึง 2 ครั้งติดต่อกัน
แต่โรนัลโดในสภาพที่ไม่ถึงกับสมบูรณ์นักก็แสดงให้เห็นว่าเขาคือนักฟุตบอลที่เก่งที่สุดในโลก เมื่อพาบราซิลในยุคเทพประทาน ‘RRR’ (โรนัลโด-ริวัลโด-โรนัลดินโญ และอีกมากมาย) คว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 2002 มาครองได้สำเร็จด้วยฟอร์มที่สุดยอดตลอดรายการ
โดยเฉพาะในนัดชิงชนะเลิศกับเยอรมนี โรนัลโดซึ่งตัดผมทรง ‘ไดโกโระ’ แผลงฤทธิ์ทำคนเดียว 2 ประตูในช่วงครึ่งหลังให้บราซิลคว้าแชมป์ได้สำเร็จ ซึ่งเป็นแชมป์โลกสมัยที่ 2 ของเขา แต่เป็นแชมป์ครั้งแรกที่มาจากฝีเท้าเต็มๆ
ฟุตบอลโลก 1986│จาก Hand of God สู่เทพเจ้าลูกหนัง
การแข่งขันฟุตบอลโลกในปี 1986 คือฟุตบอลโลกของ ดิเอโก อาร์มันโด มาราโดนา อย่างแท้จริง เพราะตลอดทั้งรายการนักเตะหมายเลขหนึ่งของโลกผู้ทำให้เสื้อ ‘หมายเลข 10’ กลายเป็นฮีโร่ในดวงใจของแฟนลูกหนังทั่วโลกวาดลวดลายอย่างสุดสะเด่า
นัดที่ติดตราตรึงใจตลอดกาลคือเกมในรอบ 8 ทีมสุดท้ายที่อาร์เจนตินาพบกับทีมชาติอังกฤษ มาราโดนาเป็นทั้งเทวาและซาตานในเกมเดียวกัน เมื่อใช้ ‘หัตถ์พระเจ้า’ หรือ ‘Hand of God’ ชกบอลเข้าประตูไปก่อน ชนิดที่คนทั้งโลกเห็นแต่กรรมการไม่เห็น ก่อนจะโซโล่เดี่ยวจากกลางสนามแหวกนักเตะทีมชาติอังกฤษยกแผงเข้าไปยิงผ่านมือ ปีเตอร์ ชิลตัน อย่างสุดมหัศจรรย์
นัดนั้นคือจุดพีคของฟุตบอลโลกที่ประเทศเม็กซิโก แต่ตอนจบที่สวยงามที่สุดก็คือเกมในรอบชิงชนะเลิศที่อาร์เจนตินาพบกับเยอรมนีตะวันตก ซึ่งเป็นเกมสุดมันอีกนัด เพราะอาร์เจนตินานำไปก่อน 2-0 แต่ ‘อินทรีเหล็ก’ ไม่ยอมแพ้ ไล่ตีเสมอเป็น 2-2 ได้ก่อนหมดเวลา 8 นาที
แต่ในนาทีที่ 85 ฮอร์เก บูร์รูชากา เป็นฮีโร่ยิงประตูชัยให้อาร์เจนตินาชนะไป 3-2 และทำให้มาราโดนาได้ชูโทรฟี่สีทอง ก่อนถูกแห่ฉลองในฐานะเทพเจ้าลูกหนังคนใหม่ของโลก
ฟุตบอลโลก 1974│จุดจบ Total Football
ไรนุส มิเชลส์ หรือ ‘ท่านนายพล’ ได้ค้นพบระบบการเล่นในแบบที่ไม่มีใครเคยคิดได้มาก่อน (และไม่มีใครทำตามได้อีกเลยจนถึงปัจจุบัน) กับระบบที่ชื่อว่า ‘Total Football’ หรือฟุตบอลไร้ที่ติที่นักเตะทุกคนในทีมสามารถหมุนเวียนมาเล่นทดแทนเพื่อนได้ทุกตำแหน่ง
ระบบนี้ทำให้เนเธอร์แลนด์ซึ่งนำมาโดย ‘นักเตะเทวดา’ โยฮัน ครัฟฟ์ กลายเป็นสุดยอดทีมที่แทบจะไร้เทียมทานเลย และได้ผ่านเข้ามาถึงรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลโลกสำเร็จ โดยดูเหนือกว่าเยอรมนีตะวันตกคู่แข่งมาก
ทีมอัศวินสีส้มยังมาได้ประตูขึ้นนำเร็วตั้งแต่นาทีที่ 2 จากการยิงจุดโทษของ โยฮัน นีสเกนส์ ด้วย เรียกว่าทุกอย่างดูเป็นใจให้หมดแล้ว แต่เยอรมนีตะวันตกพลิกสถานการณ์กลับมาตีเสมอได้จาก พอล ไบรท์เนอร์ ในนาที่ 25 ก่อนที่ ‘แดร์ บอมเบอร์’ แกร์ด มุลเลอร์ จะยิงแซงในนาทีที่ 43
ช่วงเวลาหลังจากนั้น ‘แดร์ ไกเซอร์’ ฟรานซ์ เบคเคนบาวเออร์ บัญชาเกมรับต้านทานเนเธอร์แลนด์ได้จนหมดเวลา สุดท้ายเยอรมนีตะวันตกคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกสมัยที่ 2 ของพวกเขาได้สำเร็จ ดับฝันสีส้ม ‘Total Football’ อย่างสุดเจ็บปวด
ฟุตบอลโลก 1970│บราซิลชุดที่ดีที่สุดตลอดกาล
กล่าวกันว่าทีมชาติบราซิลในชุดฟุตบอลโลก 1970 คือชุดที่ดีที่สุดตลอดกาล ซึ่งเรื่องนี้ก็ไม่หนีไปจากความจริง เพราะนักเตะ ‘เซเลเซา’ ในชุดนั้นเต็มไปด้วยนักเตะยอดขุนพลระดับโลกทุกตำแหน่ง ตั้งแต่ผู้รักษาประตูยันกองหน้า
บราซิลชุดนี้นำมาโดย เปเล ราชาลูกหนังโลกที่ขอกลับมาทวงบัลลังก์เป็นครั้งสุดท้าย หลังจากเคยสร้างปรากฏการณ์ในฟุตบอลโลก 1958 ที่ได้แชมป์โลกตั้งแต่อายุ 17 ปี และในปี 1962 ที่ได้แชมป์โลกแต่ไม่มีส่วนร่วม เพราะโดนสอยจนบาดเจ็บตั้งแต่เริ่มรายการ
แต่ยังมีโคตรบอลอย่าง แจร์ซินโญ, ทอสเทา, เกร์สัน, คาร์ลอส อัลแบร์โต (กัปตันทีม) และขวัญใจวัยรุ่นอย่าง ริเวลลิโน นักฟุตบอลผู้กลายเป็นไอดอลของมาราโดนาในเวลาต่อมา
บราซิลตะลุยผ่านทุกทีมเข้ารอบชิงชนะเลิศมาได้ตามความคาดหมาย และได้แชมป์โลกมาครองอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดด้วยการถล่มอิตาลี 4-1 ด้วยฟอร์มการเล่นที่สมบูรณ์แบบที่สุดในประวัติศาสตร์โลกลูกหนัง และเป็นที่มาของคำว่า ‘Joga Bonito’ หรือการเล่นอย่างงดงามในเวลาต่อมา
ฟุตบอลโลก 1966│อังกฤษ ประตูปริศนา
อังกฤษเป็นประเทศที่พยายามบอกโลกว่าพวกเขาคือชนชาติที่คิดค้นเกมฟุตบอลขึ้น (อย่างน้อยก็เกมฟุตบอลสมัยใหม่) แต่ไม่เคยได้แชมป์ฟุตบอลโลกเลยสักครั้ง ทำให้ความหวังอยู่ที่ฟุตบอลโลก 1966 ที่จัดบนแผ่นดินเกิดของตัวเอง
ปรากฏว่าทีม ’สิงโตคำราม’ ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศได้จริงด้วยนักเตะระดับตำนานอย่าง บ็อบบี มัวร์ (กัปตันทีม), บ็อบบี้ ชาร์ลตัน, อลัน บอลล์, โรเจอร์ ฮันต์ และต้องพบกับเยอรมนีตะวันตก มหาอำนาจของโลกลูกหนังเหมือนกัน
ในเกมนัดชิงชนะเลิศที่สนามเวมบลีย์ ทั้งสองทีมต่อสู้กันอย่างสุดมัน โดยเยอรมนีตะวันตกออกนำไปก่อนจาก เฮลมุต ฮาลเลอร์ แต่ เจฟฟ์ เฮิร์สต์ ก็ตีเสมอได้สำเร็จ ก่อนที่ มาร์ติน ปีเตอร์ส จะยิงให้อังกฤษนำบ้าง แต่ก่อนหมดเวลาแค่นาทีเดียว โวล์ฟกัง เวเบอร์ ก็ตีเสมอให้อินทรีเหล็กได้ จบ 90 นาทีต้องต่อเวลากัน 2-2
ช่วงของการต่อเวลาพิเศษที่เกิด ‘ประตูปริศนา’ ขึ้นเมื่อ เจฟฟ์ เฮิร์สต์ ได้โอกาสยิงแล้วบอลไปชนคานก่อนกระดอนลงพื้น ซึ่งไม่มีใครเห็นภาพชัดเจนว่าบอลได้ข้ามเส้นไปแล้วหรือยัง แต่ผู้ตัดสินได้เป่าให้เป็นประตู ลูกนี้กลายเป็นประตูสำคัญ เพราะอังกฤษนำอีกครั้งเป็น 3-2 ก่อนที่เฮิร์สต์จะมายิงประตูปิดท้ายให้สิงโตคำรามชนะไป 4-2 คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกสมัยแรกและสมัยเดียวของพวกเขา