สถานีโทรทัศน์ CNN รายงานว่า บรรดาบริษัทบริหารจัดการสินทรัพย์ในตลาดวอลล์สตรีทส่วนใหญ่ยังคงให้น้ำหนักความสำคัญในการลงทุนในหุ้นบริษัทเทคโลยีสัญชาติจีนในตลาด แม้จะกำลังเผชิญกับการตรวจสอบควบคุมอย่างหนักจากทางรัฐบาลจีนตามแนวปฏิรูปเพื่อกำกับดูแลภาคเอกชนให้รัดกุมเข้มงวด จนทำให้มูลค่าของบริษัทจีนเหล่านี้หายไปกว่า 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา
โดยผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนส่วนหนึ่งระบุว่า ห้วงเวลานี้คือช่วงเวลาที่ดีในการลงทุน และเห็นว่าความเคลื่อนไหวของรัฐบาลจีนเป็นสิ่งจำเป็นที่จะทำให้การเติบโตของจีนยังน่าดึงดูดและยั่งยืนในระยะยาว
ลูกา เปาลินี หัวหน้านักกลยุทธ์ของ Pictet Asset Management สาขาของธนาคารเอกชนสัญชาติสวิส Pictet Group ที่มีทรัพย์สินในการบริหารจัดการ 746,000 ล้านเหรียญสหรัฐ กล่าวว่า กรณีของจีนไม่มีผลกระทบใดๆ ในระยะยาว ดังนั้นหุ้นจีนในช่วงเวลานี้จึงเป็นจังหวะดีที่จะเข้าซื้อเพื่อทำกำไรระยะยาว ซึ่งแนวคิดดังกล่าวของเปาลินีสอดคล้องกับนักวิเคราะห์จาก BlackRock บริษัทจัดการกองทุนที่ใหญ่ที่สุดในโลก Fidelity และ Goldman Sachs ที่ต่างก็ตบเท้าออกมาแนะนำให้นักลงทุนเข้าซื้อหุ้นจีนเช่นกัน
ทั้งนี้ BlackRock ระบุว่า แม้มาตรการจีนจะยังไม่นิ่ง แต่ท่าทีและจุดยืนของรัฐบาลจีนแสดงให้เห็นชัดว่า ต้องการรักษาสมดุลของตลาด คือคุมเข้มแต่ก็ไม่ต้องการสั่นคลอนเสถียรภาพของตลาดจนเกินไป ดังนั้นการกวาดล้างจะลดระดับลง หากว่าการดำเนินการดังกล่าวจะกระทบต่อการเติบโตและทำให้ตลาดผันผวน
ดัชนี MSCI China Index ซึ่งติดตามบริษัทเอกชนขนาดใหญ่และขนาดกลางจีนปีนี้ปรับตัวลดลงมากกว่า 13% แล้ว ตรงกันข้ามกับดัชนี MSCI World Index ที่ขยับปรับขึ้นแล้วมากกว่า 16%
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์อีกส่วนหนึ่งก็มองว่า การเข้าลงทุนในตลาดหุ้นจีนยังต้องดำเนินการอย่างระมัดระวัง เนื่องจากเศรษฐกิจจีนยังเผชิญปัจจัยเสี่ยงที่นอกเหนือจากเศรษฐกิจชะลอตัวและการจัดระเบียบคุมเข้มบริษัทเอกชน โดยปัจจัยเสี่ยงอีกประการหนึ่งที่เพิ่มขึ้นมาก็คือ ตลาดอสังหาริมทรัพย์
ความวิตกดังกล่าวมีขึ้น หลังมีรายงานว่า Evergrande หนึ่งในนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดของจีน อาจมีสิทธิ์ผิดนัดชำระหนี้ 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หากไม่สามารถระดมทุนได้ในเร็ววันนี้ ซึ่งหากผิดนัดชำระหนี้จริงจะส่งผลกระเทือนต่อภาคอสังหาริมทรัพย์และภาคการธนาคารของจีนอย่างรุนแรง โดยนับตั้งแต่ต้นปี หุ้นของ Evergrande ร่วงลงไปแล้ว 72%
ขณะที่ความเคลื่อนไหวของบรรดาหุ้นบริษัทเกมจีนล่าสุด (1 กันยายน) ยังคงขยับปรับตัวเพิ่มขึ้น แม้จะมีกฎจำกัดชั่วโมงการเล่นเกมของเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปี โดยหุ้นบริษัทเกมในตลาดฮ่องกงอย่าง Bilibili ปิดตลาดเพิ่มขึ้น 6.25%, NetEase 6.42% และ Tencent เพิ่มขึ้น 1.5% เนื่องจากนักวิเคราะห์มองว่า กฎระเบียบใหม่ไม่น่ามีผลกระทบต่อสถานะทางการเงินของบริษัทเหล่านี้ เพราะกลุ่มเด็กและเยาวชนไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายหลักที่ทำรายได้ให้แก่บริษัท
อ้างอิง: