เมื่อเปิดกล่องความทรงจำ ภาพและเรื่องราวต่างๆ ก็พรั่งพรูออกมา
สำหรับ เกรแฮม อาร์โนลด์ นายใหญ่ของทีมชาติออสเตรเลีย แม้จะผ่านมานานถึง 29 ปี แต่ภาพทุกอย่างยังชัดเจน แค่สีอาจจะซีดลงไปบ้างตามกาลเวลา
วันหนึ่งในช่วงปลายเดือนตุลาคม 1993 อาร์โนลด์ในฐานะกองหน้าของทีมซอคเกอรูส์ (สมญาของทีมชาติออสเตรเลีย) ต้องลงสนามในเกมสำคัญระดับชี้ชะตาว่าจะได้สิทธิ์ไปร่วมแข่งขันในฟุตบอลโลก 1994 ที่สหรัฐอเมริกา หรือไม่
โดยคู่แข่งนั้นเป็นทีมที่เขาและพวกเขาทั้งทีมเองก็ไม่เคยคิดว่าจะต้องโคจรมาพบกันอย่างอาร์เจนตินา แชมป์ฟุตบอลโลก 2 สมัย
“มันเป็นหนึ่งในความทรงจำที่ดีที่สุดในชีวิต” อาร์โนลด์ที่ก่อนจะกลายสภาพเป็นคุณลุงในแบบทุกวันนี้ เคยเป็นกองหน้ามาดเข้มไว้ผมทรงมัลเล็ตพร้อมหนวดเฟิ้มมาก่อน
ที่ต้องบอกว่าเป็นความทรงจำที่ดีที่สุดนั้น เป็นเพราะเขาไม่เคยคิดว่าออสเตรเลียจะมีโอกาสได้พบกับอาร์เจนตินาที่มี ดิเอโก มาราโดนา นักฟุตบอลผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งยุคสมัย
ความจริงอาร์โนลด์และซอคเกอรูส์ไม่ควรจะมีโอกาสได้พบกับมาราโดนาด้วยซ้ำ หากทีมเบียงคิเชเลสเตทำผลงานได้ดีตามมาตรฐาน และผ่านเข้ารอบสุดท้ายตามอย่างที่ควรจะคาดหวังได้ในฐานะแชมป์โลก 1986 และรองแชมป์โลก 1990
แต่อาร์เจนตินากลับทำตัวเองให้ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากและอับอายถึงขีดสุด เมื่อถูกโคลอมเบียบุกเอาชนะได้คาบัวโนสไอเรสถึง 5-0 ทำให้ต้องมาลุ้นชิงตั๋วรถไฟขบวนสุดท้ายสู่ฟุตบอลโลกในดินแดนแห่งเสรีภาพกับทีมจากทวีปโอเชียเนียอย่างออสเตรเลีย
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอาร์เจนตินาไม่มีมาราโดนาในช่วงเวลานั้น
ลำพัง เอล ดิเอโก ไม่ได้อยู่ในสภาพของสุดยอดนักเตะอีกแล้ว ปัญหาชีวิตส่วนตัว โดยเฉพาะเรื่องยาเสพติด ทำให้เขาเปลี่ยนไปมาก บวกกับความขัดแย้งกับ อัลฟิโอ บาซิเล โค้ชอาร์เจนตินาในเวลานั้น ทำให้มาราโดนาตัดสินใจจะอำลาทีมชาติโดยไม่สนใจใครทั้งนั้น
เพียงแต่ในช่วงท้ายเกมที่โดนโคลอมเบียบุกมายำใหญ่ใส่สารพัด เสียงเพรียกจากแฟนๆ ในสนามก็ดังกระหึ่ม
“มาราโดนา มาราโดนา มาราโดนาาา”
นั่นทำให้มาราโดนาตัดสินใจที่จะกลับมาอีกครั้งเพื่อสวมเสื้อหมายเลข 10 กับภารกิจสำคัญในการพาอาร์เจนตินาผ่านเข้าฟุตบอลโลกให้ได้
ถึงสภาพร่างกายในเวลานั้นจะห่างไกลจากร่าง ‘เทวาและซาตาน’ ในฟุตบอลโลก 1986 ที่เม็กซิโกมาก แต่มาราโดนาที่ลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว จากร่างอ้วนฉุกลับมาอยู่ในสภาพที่เหมือนนักฟุตบอลอีกครั้ง ก็ยังคงเป็นมาราโดนาเหมือนเดิม
ลูกเปิดของเขาให้กับ อาเบล บัลโบ โหม่งพังประตูคือการจุดประกายให้ทีมในการพบกันเกมแรกที่ซิดนีย์ แม้สุดท้ายจะจบลงด้วยการเสมอกัน 1-1 ก่อนที่อาร์เจนตินาจะเฉือนเอาชนะได้สำเร็จ 1-0 ในเกมนัดที่สองที่บัวโนสไอเรส
เพียงแต่ถึงจะพ่ายแพ้ แต่สำหรับชาวออสเตรเลีย การต่อสู้กับแชมป์โลก 2 สมัยอย่างอาร์เจนตินาได้อย่างถึงพริกถึงขิง คือการจุดประกายให้กับเด็กๆ ในดินแดนดาวน์อันเดอร์ให้มีใจรักฟุตบอล
ราวกับมีใครสักคนบนฟ้าที่ตั้งใจเขียนเรื่องราวนี้ขึ้น ภาพของมาราโดนาในวันนั้นซ้อนทับกับภาพของ ลิโอเนล เมสซี ในวันนี้ได้อย่างน่าประหลาดใจ
เมสซีในวัย 35 ปี อาจจะดูโรยราและกำลังวังชาน้อยกว่ามาราโดนาในเวลานั้น แต่ด้วยระดับฝีเท้าของเขาแล้ว แค่การคิดเข้าใกล้หรือแย่งบอลก็เป็นเรื่องที่ยากยิ่ง
อาร์โนลด์ยังจำได้ว่าในการพบกับอาร์เจนตินาเมื่อปี 1993 การจะเข้าใกล้เพื่อไล่หวดมาราโดนาเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก เพราะความชาญฉลาดในการเล่นของเทพเจ้าลูกหนังชาวอาร์เจนไตน์ ซึ่งเมสซีเองก็เช่นกัน
ตลอดทั้งเกมเมสซีแสดงให้เห็นว่าทำไมโลกจึงควรบูชาเขาในฐานะเทพเจ้าอีกองค์ของวงการลูกหนัง ชั้นเชิงการเล่น ไหวพริบ และความกล้าหาญของเขาคือสิ่งที่สร้างความแตกต่างระหว่างทั้งสองทีมในเกมนี้
ออสเตรเลียทำได้ดีอย่างยิ่ง และอาจจะดีเกินความคาดหมายของใครหลายคนในการปิดตายเกมของอาร์เจนตินาได้อย่างสมบูรณ์แบบในช่วง 30 นาทีแรก ซ้ำยังมีช่วงเวลาที่สามารถเป็นฝ่ายครองเกมต่อบอล เพื่อหาทางเล่นงานทีมคู่แข่งที่อยู่คนละฟากโลกได้อย่างน่าสนใจ
แต่ในยามยากแบบนี้ก็เป็นอีกครั้งที่เมสซีปรากฏกายเหมือนในเกมกับเม็กซิโก
ลูกฟรีคิกริมเส้นฝั่งขวา ซึ่งเขาเปิดเข้าไปแล้วถูกสกัดออกมาวนกลับมาที่เมสซีใหม่ ก่อนที่เขาจะเป็นคนเริ่มจังหวะอีกครั้งด้วยการฝากไปที่ อเล็กซิส แมค อัลลิสเตอร์ กองกลางคู่บุญอีกคนที่แทงบอลเข้ามาในกรอบเขตโทษให้ นิโกลัส โอตาเมนดี
โอตาเมนดีไม่ใช่กองหลังเชิงสูงอะไร จึงจับบอลห่างตัวอยู่นิดๆ แต่แทนที่จะเสียจังหวะหรือโอกาส มันกลับเป็นการแต่งบอลอย่างพอดีที่สุดให้เมสซีที่อ่านเกมล่วงหน้าและสอดขึ้นมาในพื้นที่นั้นพอดีได้แต่งบอล ก่อนเลือกยิงเรียดและโค้งเข้าเสาไกลอย่างสวยงามตามสไตล์
ประตูนี้เป็นประตูที่ 789 ในเกมที่ 1,000 ในชีวิตการเล่นของเมสซี ซึ่งเจ้าตัวสารภาพว่าไม่เคยรู้และเพิ่งรู้ตัวเอาในช่วงก่อนเกมนี้เอง และที่สำคัญไม่แพ้กันคือนี่เป็นประตูแรกในฟุตบอลโลกรอบน็อกเอาต์ หลังจากที่ลงเล่นมา 5 สมัยไม่เคยยิงในรอบลึกได้เลย
ประตูนี้ยังเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในเกม ไม่ต่างจากการครอสบอลของมาราโดนาให้บัลโบในเกมเมื่อ 29 ปีก่อน และทำให้อาร์เจนตินาได้สติกลับมาเป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง ก่อนที่ โรดริโด เด ปอล และ ฮูเลียน อัลวาเรซ จะช่วยกันไล่ล่า แมทธิว ไรอัน นายทวารออสซี จนพลาดและถูกกองหน้าแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ฉกเอาบอลไปยิงได้อย่างง่ายๆ ในช่วงครึ่งหลัง
เมสซียังมีอีกหลายจังหวะที่ทำให้แฟนฟุตบอลทั้งในสนามและที่ชมการถ่ายทอดสดจากทางบ้านทั่วโลกได้หัวใจเต้น โดยเฉพาะจังหวะการลากเลื้อยแหวกนักเตะออสเตรเลียเป็นริ้วๆ ซึ่งแม้สุดท้ายมันจะจบลงด้วยความว่างเปล่า แต่ก็ทำให้หัวใจของทุกคนฟูขึ้นมา
ออสเตรเลียของอาร์โนลด์เองก็น่าประทับใจ เพราะเกือบจะไล่ตามทันเหมือนกันหลังลูกยิงไกลแฉลบ เอ็นโซ เฟร์นานเดซ ได้ปลุกวอลลาบีให้กลายเป็นจิงโจ้ยักษ์ โดยที่หากลูกยิงของ คารัง คูโอล ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บนาทีสุดท้ายผ่าน เอมิเลียโน มาร์ติเนซ ได้ เกมอาจจะพลิกโฉมไปอีกหน้าก็ได้
แต่ในเมื่อมาร์ติเนซช่วยชีวิตอาร์เจนตินาได้ เช่นเดียวกับการสกัดแบบสุดชีวิตของ ลิซานโดร มาร์ติเนซ และการวิ่งสู้ฟัดของ โรดริโก เด ปอล มิดฟิลด์องครักษ์พิทักษ์ราชัน เรื่องราวของเมสซีกับฟุตบอลโลกจึงได้ไปต่อ
สำหรับอาร์โนลด์มันเป็นความพ่ายแพ้ที่น่าเสียดาย แต่ไม่มีอะไรต้องเสียใจ เมื่อเขาและลูกทีมทำให้อาร์เจนตินาต้องเจอกับชีวิตที่ยากลำบากขนาดนี้
ความยากลำบากที่ทำให้แม้แต่มาราโดนายังประทับใจและให้คำมั่นสัญญากับทีมซอคเกอรูส์ว่า เมื่อพวกเขากลับมาเยือนบัวโนสไอเรส จะไม่มีแฟนฟุตบอลอาร์เจนตินาโห่ใส่พวกเขาแม้แต่คนเดียว และมันก็เป็นเช่นนั้นจริง
มาราโดนายังต่อสายตรงเข้ารายการโทรทัศน์อาร์เจนตินาที่สัมภาษณ์ พอล เวด กับ ราอูล บลังโก สองสตาร์ออสซี หลังจบเกมที่อาร์เจนตินาเฉือนเอาชนะได้ 1-0 ที่บัวโนสไอเรส ด้วยการปลอบโยนในแบบที่เราอาจไม่คิดว่าจะออกมาจากปากของมาราโดนาว่า “น้ำตาแห่งความเศร้าจะเปลี่ยนเป็นน้ำตาแห่งความสุขในสักวันอย่างแน่นอน”
ก่อนที่ในคืนนั้นจะมีโทรศัพท์ดังขึ้นในห้องพักของนักเตะออสเตรเลีย
“พวกนายลงมาสิ”
เมื่อนักเตะทีมชาติออสเตรเลียรวมถึง เกรแฮม อาร์โนลด์ ลงมาก็แทบตกตะลึงกับกองทัพรถแท็กซี่ที่รอรับพวกเขาไปตระเวนราตรีในแบบที่ไม่รู้ลืมในบัวโนสไอเรส
ลองทายดูไหมว่าคนที่ดูแลรับผิดชอบงานนี้ทั้งหมดจะเป็นใคร? 🙂
บันทึกเพิ่มเติม
- หนึ่งในนักเตะทีมชาติอาร์เจนตินาชุดที่พบกับออสเตรเลียเมื่อปี 1993 คือ คาร์ลอส หรือ โคโล (หมายถึง ขิง ตามสีผม ซึ่งจริงๆ โคโลมาจากโคโลราโดที่มีเทือกเขาสีนี้นั่นเอง) แมค อัลลิสเตอร์ ผู้เป็นพ่อของ อเล็กซิส แมค อัลลิสเตอร์ หนึ่งในกำลังสำคัญของอาร์เจนตินาเวลานี้นั่นเอง
- เนเธอร์แลนด์จะเป็นคู่ปรับทีมต่อไปของอาร์เจนตินา หลังจากที่แสดงให้เห็นถึงประสบการณ์และความเฉียบคมที่เหนือกว่า สยบสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จ