วันนี้ (22 กันยายน) วรภพ วิริยะโรจน์ ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล แถลงข่าวแสดงความกังวลต่อค่าไฟที่แพงขึ้น พร้อมตอบโต้คำแถลงของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ที่ออกมาระบุว่าคนไทยจะไม่ได้เห็นค่าไฟฟ้า 4 บาทต่อหน่วยอีกแล้ว
โดยวรภพระบุว่า ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาการขึ้นค่า Ft 92 สตางค์ ทำให้คนไทยต้องจ่ายค่าไฟเพิ่มโดยเฉลี่ยถึง 5 บาทต่อหน่วย กลายเป็นค่าไฟที่แพงที่สุดในประวัติศาสตร์ และแม้ที่ผ่านมาจะมีการอนุมัติงบกลาง 9 พันล้านบาทออกมาช่วยเหลือประชาชน แต่ก็เป็นเพียงมาตรการชั่วคราว 4 เดือนเท่านั้น ซึ่งในอนาคตประชาชนจะต้องมาเป็นผู้แบกรับภาระดังกล่าวนี้อย่างแน่นอน
แม้จะมองปัจจัยหลักของปัญหาไปอยู่ที่วิกฤตพลังงานจากสงครามยูเครน-รัสเซีย แต่ตนขอยืนยันอีกครั้งว่า ต้นตอจริงๆ เกิดจากนโยบายของรัฐบาล ที่เอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนพลังงานอยู่เหนือประโยชน์ของประชาชน
ประการแรก มาจากการที่ทุกหน่วยไฟฟ้าที่ประชาชนต้องจ่ายเป็นการจ่ายเข้าโดยตรงให้กลุ่มทุนโรงไฟฟ้าเอกชนที่ไม่ได้เดินเครื่อง ถึง 24 สตางค์ต่อหน่วย เหตุจากการที่รัฐไปทำสัญญาประกันกำไรค่าความพร้อมจ่ายให้โรงไฟฟ้าเอกชนมากเกินความต้องการใช้ไปถึง 54 เปอร์เซ็นต์ และกลายมาเป็นต้นทุนที่รัฐนำมาคิดกับประชาชนอีกทีหนึ่ง และนอกจากนี้ ประชาชนยังต้องจ่ายค่าผ่านท่อก๊าซที่ไม่มีก๊าซผ่าน เพราะโรงไฟฟ้าไม่ได้เดินเครื่องให้กับกลุ่มทุน ปตท. อีกต่อหนึ่ง โดยรัฐบาลไม่มีความพยายามใดเลยในการเจรจาขอปรับลด
นอกจากนี้ แม้กำลังการผลิตไฟฟ้าจะมีมากเกินความต้องการไปแล้วถึง 17,000 เมกะวัตต์ (MW) แต่ที่ผ่านมากลับมีการรีบอนุมัติทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) กับ 5 เขื่อนใน สปป.ลาวเพิ่มอีก 3,900 MW โดยที่ไม่รอแผน PDP ฉบับใหม่ ที่จะพิจารณาถึงความจำเป็นในการสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่ม ซึ่งการดำเนินการอย่างเร่งรีบนี้จะย้อนกลับมาเป็นภาระให้กับประชาชนในอนาคตต่อเนื่องอย่างแน่นอน
ประการต่อมา จริงอยู่ที่ประชาชนจ่ายค่าไฟฟ้าแพง ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากต้นทุนก๊าซนำเข้า 10 บาทต่อหน่วย แต่หากพิจารณาถึงปริมาณความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติในการผลิตไฟฟ้า จะเห็นว่าอยู่ที่ 2,600 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน แต่กำลังการผลิตก๊าซจากอ่าวไทยนั้นมีมากถึง 2,756 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ซึ่งเพียงพอต่อการผลิตไฟฟ้าให้กับทั้งประเทศ เพียงแต่นโยบายของรัฐบาลได้อนุญาตให้กลุ่มทุนพลังงานนำก๊าซจากอ่าวไทยที่ไปขายเป็นเชื้อเพลิงให้กับอุตสาหกรรมได้ก่อนถึง 811 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และนำไปขายเป็นวัตถุดิบปิโตรเคมีในเครือ ปตท. อีก 804 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน รวมกัน 1,615 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน หรือ 59 เปอร์เซ็นต์ของก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย ถูกนำไปมอบให้กลุ่มทุนพลังงานโดยตรงก่อนนำมาผลิตไฟฟ้าให้ประชาชนใช้
ประการสุดท้าย มาจากนโยบายที่ให้ครัวเรือนจ่ายค่าไฟฟ้าแพงกว่ากิจการขนาดใหญ่ โดยเก็บค่าไฟฟ้าจากครัวเรือนเป็นอัตราก้าวหน้า หรือยิ่งใช้มากยิ่งจ่ายแพง ขณะที่เก็บจากกิจการขนาดใหญ่เป็นอัตราคงที่ ซึ่งครัวเรือนที่ใช้ไฟฟ้าแพงสุดต้องจ่ายที่ 4.10 บาทต่อหน่วย ขณะที่กิจการขนาดใหญ่กลับจ่ายค่าไฟฟ้าแพงสุดเพียง 3.74 บาทต่อหน่วยเท่านั้น
“ค่าไฟหน่วยละ 4 บาทไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้อีกแล้วอย่างที่ กกพ. ออกมาแถลง นี่เป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง สงครามยูเครน-รัสเซียเป็นแค่ปัจจัยรอง แต่ปัจจัยหลักคือนโยบายของรัฐที่เอื้อประโยชน์กลุ่มทุนพลังงานต่างหาก ผมยืนยันอีกครั้งว่าค่าไฟที่ถูกลงที่หน่วยละ 4 บาทเป็นไปได้ หากเพียงรัฐเปลี่ยนนโยบาย นำเอาผลประโยชน์ของประชาชนมาเป็นหลักก่อนผลประโยชน์ของกลุ่มทุนพลังงานเท่านั้น” วรภพกล่าว