ปกติผู้ชายคนนี้จะนั่งในฐานะคนตั้งคำถาม ไม่ใช่ในฐานะผู้ให้สัมภาษณ์ และคำถามของเขา ‘แรง’ เสมอ
วู้ดดี้-วุฒิธร มิลินทจินดา คือเจ้าของรายการ เกิดมาคุย รายการโทรทัศน์ชื่อดังในอดีตที่มักจะเชิญคนดังที่กำลังเป็นประเด็น (ไม่ว่าจะดีหรือฉาว) มาสัมภาษณ์ (หรือมาเชือดก็แล้วแต่) ด้วยคำถามแรงและตรงอย่างที่ไม่มีใครกล้ายิงคำถามแบบนี้ใส่หน้า
แต่นั่นคืออดีต และเขาบอกว่าไม่เคยยึดติดกับอดีตเลย “ผมคงไม่สามารถตายได้โดยที่พิธีกรในงานศพผมพูดว่า เขาเป็นเจ้าของรายการ เกิดมาคุย พิธีกรฝีปากกล้าที่กล้าถามทุกอย่าง… แล้วเขาก็ตาย ผมรู้สึกว่ามันไม่คุ้ม มันไม่คุ้ม”
ในยุคที่คนยิ่งทำอะไรแรงๆ ก็ยิ่งดัง เขาเองน่าจะเป็นคนที่รู้ดีเรื่องการเล่นกับ ‘ความแรง’ และ ‘กระแส’ มากที่สุดในฐานะคนที่เคยใช้มันเป็นอาวุธมาก่อน แต่ทุกวันนี้รายการที่เขาทำในไลฟ์ดูเรียบง่ายขึ้นมาก ยิ่งได้คุยก็ยิ่งสัมผัสได้ว่าผมไม่ได้กำลังคุยกับพิธีกรรายการ เกิดมาคุย คนนั้น แต่กำลังคุยกับผู้ชายวัย 40 ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวในชีวิตมาระดับหนึ่ง เขาสุขุมลุ่มลึกขึ้น เรียบง่ายขึ้น ได้ค้นพบความตื่นเต้นครั้งใหม่ในชีวิตที่ไม่ใช่เรื่องการสัมภาษณ์คนอีกแล้ว และมีหลายเรื่องอยากจะเล่าให้เราฟัง
“ผมกลับไปอ่านบทสัมภาษณ์สมัยก่อนตอนที่เข้าวงการใหม่ๆ หรือตอนที่ดังมากๆ ผมอ่านแล้วรู้สึกว่าพูดอะไรไป ตอแหลมาก แต่เราก็รักวู้ดดี้ในเวอร์ชันนั้นนะ เพราะเราก็รู้สึกว่าเขาได้เรียนรู้ เพราะฉะนั้นวันนี้ผมจะพูดในสิ่งที่ผมคิดจริงๆ และหวังว่าจะเป็นประโยชน์กับคนอื่น”
ถ้าวู้ดดี้คนเดิมจะลาคนดูรายการด้วยคำว่า “ราตรีสวัสดิ์ครับ…พี่น้องชาวไทย” ผมคิดเล่นๆ ว่าวู้ดดี้คนที่ผมกำลังคุยอยู่นี้คงอยากบอกสิ่งนี้กับพวกเรา “ตื่นเถอะครับ…พี่น้องชาวไทย”
คุณสัมภาษณ์คนดังมาทั้งไทยและต่างประเทศ เรียนรู้อะไรจากการได้นั่งคุยกับคนเหล่านั้นบ้าง
ผมได้เห็นความหลากหลายของชีวิต ได้เห็นเรื่องราวของคน แล้วก็สะท้อนกลับมาดูตัวเราเอง ผมโคตรโชคดีเลยที่ได้คุยกับคนมากมาย แล้วก็ได้ถ่ายทอดสิ่งนั้นให้คนอื่นฟังด้วย เพราะผมได้เห็นทุกเรื่องราวว่าเขาผ่านมันไปอย่างไร เขาสู้มันมาอย่างไร สุขอย่างไร ทุกข์อย่างไร สิ่งที่ผมเห็นจากคนที่มีชื่อเสียงคือยิ่งสูงยิ่งธรรมดามากเลย ยิ่งดังยิ่งเบสิกมากเลย ยิ่งเป็นท็อปของโลกยิ่งติดดิน นั่นคือสิ่งที่ผมเห็น ผมคิดว่าคนที่ประสบความสำเร็จระดับโลกเขาขึ้นไปถึงจุดนั้นได้เป็นเพราะเขาง่าย ความง่ายของเขาจะทำให้ฐานของคนที่รักช่วยซัพพอร์ตเขาขึ้นไป แต่ความเยอะมันจะทำให้คุณไม่ไปไหน
ดังนั้นเจตนาสำคัญมากเลย ผมชื่นชมคนอย่าง นก สินจัย, ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์, พี่เบิร์ด, อาต๋อย ไตรภพ ผมชื่นชมคนเหล่านี้มาก เพราะเขามีโฟกัสในสิ่งที่ทำ เขาอินกับศาสตร์ของเขา แล้วเขาก็มีความเรียบง่าย ผมว่าอันนี้สำคัญมาก แล้วก็อยากจะบอกทุกคนเลยว่าโฟกัสในสิ่งที่ตัวเองทำให้มันดีที่สุด แล้วก็เป็นอันดับ 1 ในสิ่งที่ตัวเองเป็น
คุณทำอย่างไรให้คนเปิดใจคุยกับคุณได้ขนาดนั้น
ผมไม่เคยรู้สึกว่าเขาแปลกหน้า อันนี้ผมจะบอกความลับให้นะ ผมรู้สึกว่าเขาเป็นพี่น้องผม สมัยก่อนผมไม่รู้จักสิ่งนี้นะ แต่ผมคิดว่ามนุษย์เราทุกคนสุดท้ายมันก็มาจากต้นกำเนิดบรรพบุรุษเดียวกัน สุดท้ายเราก็เป็นเลือดเนื้อเหมือนกัน เราเป็นคน เมื่อคิดอย่างนั้นได้ปุ๊บ ใครก็ตามที่เดินเข้ามาในพื้นที่ของผมก็คือพี่น้องผมทั้งนั้นเลย แล้วเมื่อคุณมองเขาเหมือนพี่น้อง คุณก็จะมีความรักให้กับเขาเหมือนพี่น้อง เขาก็จะคุยทุกอย่างกับคุณ เราถามความจริง เขาก็จะตอบความจริง ความจริงเป็นเรื่องดีจะตาย แต่ถ้าคุณเดินเข้ามาแล้วมองว่าเขาเป็นแขกและคุณเป็นพิธีกร คุณก็จอดตรงนั้นเลย
มีเหตุการณ์ประทับใจในการสัมภาษณ์ที่ผ่านมาที่คนดูไม่ได้เห็น แต่คุณอยากแชร์ให้เราฟังไหม
เดวิด เบ็คแฮม ผมสัมภาษณ์ผ่านทางไลฟ์แล้วก็ประทับใจเขามาก เพราะว่าเขาเดินเข้ามาในกองถ่ายแล้วจับมือทุกคน ตั้งแต่ช่างหน้า ตากล้อง ช่างไฟ ทุกคนเลย เขาแนะนำตัวเองว่าเป็นเดวิด เบ็คแฮม แล้วก็มานั่งข้างผมตอนนั้น ถ้าใครไปดูภาพเนี่ย ผมนั่งห่างจากเขามากเลย ไม่เหมือนกับการสัมภาษณ์ที่ผมจะโน้มตัวเข้าหาแขก ขนาดพี่แหม่ม สุริวิภา ยังถามเลยว่าทำไมแกดูประหม่า ก็เขาเซ็กซี่นี่ แล้วเราชอบเขาไง เขาสบตาเรา เราก็เขิน
อีกคนคือ ฮิวจ์ แจ็คแมน ผมหลงรักเลย เขามีเสน่ห์แบบเซ็กซี่ เป็นสุภาพบุรุษ เดินมารับวู้ดดี้ตั้งแต่หน้าประตูน่ะ คุณคิดดู อีกคนหนึ่งคือ วิล สมิธ เขาอบอุ่นมากๆ แล้วเดือนต่อมาผมก็ได้รับโปสการ์ดจากเขาส่งมาที่บ้าน เขียนว่าดีใจที่เราได้มีโอกาสร่วมงานกัน ขอให้คุณโชคดี และหวังว่าเราจะได้เจอกันใหม่ ระลึกถึงเสมอนะครับ เท่ไหมล่ะ ละลายเลยล่ะ
ผมรู้สึกว่าคนเหล่านี้อินสไปร์ให้ผมเห็นคุณค่าของทุกคนที่เข้ามาในชีวิตเรา ทำให้เราเห็นว่าทุกคนสำคัญ อะไรก็ตามที่เข้ามาในชีวิตแล้วอย่า take it for granted หรือว่าอย่ามองผ่านๆ
มีใครที่คุณยังไม่ได้สัมภาษณ์อีกไหม
พี่เบิร์ดน่าจะเป็นคนเดียวที่ผมยังไม่ได้สัมภาษณ์ เสนอเรื่องไปเท่าไรก็โดนปฏิเสธ สมัยก่อนเราน้อยใจมาก จนกระทั่งเราบอกตัวเองว่าต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ เราดูพี่เบิร์ดสัมภาษณ์ผ่านทางสื่ออื่นสนุกกว่าอีก แต่ว่าผมรักพี่เบิร์ดมาก และผมก็ค้นพบบางอย่างนะ สัจธรรมเรื่องนี้ก็คือในชีวิตคุณจะไม่ได้ทุกอย่างหรอก ไม่ใช่ทุกอย่างจะเป็นอย่างที่คุณต้องการ และคุณก็ไม่ต้องไปยึดติดกับมัน ทุกวันนี้คิดแบบนี้แล้วสบายเลย
เดี๋ยวนี้มันไปอยากรู้เรื่องอื่นมากกว่า อยากรู้ว่าเราจะทำอย่างไรให้คนทั้งประเทศสุขภาพดี หรือว่าชาติเราจะต้องมีนวัตกรรมอะไรที่ทำให้ประเทศเดินไปข้างหน้า
รายการ เกิดมาคุย ที่คุณสร้างดังเพราะคุณตั้งคำถามแรง ตรง สะใจ เป็นเรื่องที่คนอยากรู้ ทุกวันนี้มันยังเป็นคำถามแบบเดียวกับที่คุณอยากถามไหม
สำหรับผม วันนี้มันไม่ใช่ประเด็นว่าข่าวที่คนเมาท์กันมันจริงหรือไม่จริง แต่มันกลายเป็นว่าเขาผ่านมาได้อย่างไร เขาอยู่มาได้อย่างไร มันเริ่มเป็นคำถามที่มากกว่าจริงหรือไม่จริง ใช่หรือไม่ใช่ มันคือ How แล้วผมว่านั่นคือสิ่งที่โลกต้องการจะรู้ โลกต้องการจะรู้ว่าเมื่อวันที่คุณอยู่ในจุดที่คุณคิดว่าไม่มีอะไรแล้วเนี่ย ใจคุณคิดอย่างไรถึงได้ลุกขึ้นมาสู้ หรือเมื่อวันที่คุณเลิกกับแฟนที่คบมา 5 ปี ใจคุณคิดอย่างไร วันต่อมาคุณถึงสามารถจะแต่งงานต่อได้เลย หรือเมื่อคุณคิดว่าตัวเองเป็นโรคซึมเศร้าแล้วอยากจะฆ่าตัวตาย คุณคิดอย่างไรถึงจะทำให้ไม่คิดฆ่าตัวตายแล้วก็ร่าเริงในวันต่อไป นี่คือสิ่งที่ผมอยากถามคนมากมาย
6 ปีแรกของการทำรายการ เกิดมาคุย สนุกมาก 3 ปีหลังทรมาน หนึ่ง เราสัมภาษณ์คนมาหมดแล้ว สอง ต้องจับกระแส สาม พอเราปรับทิศทาง เราสัมภาษณ์คนที่ไม่ได้เป็นกระแส เราคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ แต่เรตติ้งมันก็ร่วง แล้วพอเรตติ้งมันร่วงปุ๊บ คนก็บอกว่าอยากให้สัมภาษณ์แรงๆ ทำไมคุยแต่เรื่องดีๆ ไม่สะใจเลย แต่เราไม่รู้สึกแบบนั้นแล้วไง เราเปลี่ยนไปครับ ผมคงไม่สามารถตายได้โดยที่พิธีกรในงานศพผมพูดว่า “เขาเป็นเจ้าของรายการ เกิดมาคุย พิธีกรฝีปากกล้าที่กล้าถามทุกอย่าง… แล้วเขาก็ตาย” ผมรู้สึกว่ามันไม่คุ้ม มันไม่คุ้ม
อะไรทำให้คุณรู้สึกว่ามันไม่สนุกแล้ว
ตอนที่รู้สึกว่าแขกบางคนได้รับผลกระทบจากการออกรายการ แล้วเราก็เบื่อด้วย มาอีกแล้ว นั่งไขว่ห้าง ชี้หน้าถามคำถาม แล้วผมรู้สึกว่าฤดูมันยังเปลี่ยนเลย ก็เลยตัดสินใจปิดมัน แล้วไม่ใช่แค่ปิดแค่รายการกลางคืนนะ ปิดทั้งกลางคืนและตอนเช้าด้วย ผมว่าถ้าเราต้องการการเปลี่ยนแปลงจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง เราต้องเผาสะพานนั้นทิ้งไปเลย ไม่ต้องกลับไปอีกแล้ว ผมก็เผามันทิ้งเลยนะ แล้วก็ไปอยู่ไลฟ์เลย
ในฐานะที่คุณเกิดมาจากสื่อเก่าอย่างโทรทัศน์ที่ได้รับผลกระทบจากดิจิทัล แต่น่าสนใจตรงที่คุณกระโดดเข้าสู่สื่อใหม่ได้โดยไม่บ่นว่าดิจิทัลมาทำลายฐานที่มั่นเดิมของคุณ
ใช่ โลกเปลี่ยนทุกวันเลยครับ แล้วเราไม่เห็นจะต้องมานั่งพูดเลยว่าสมัยก่อนมันดีกว่านี้ หรือดิจิทัลมาทำลายวงการ มันเสียเวลา คุยกันดีกว่าว่าเราจะเอ็นจอยกับมันอย่างไร เราจะเล่ามันอย่างไร เราจะเล่นกับมันอย่างไร คุณว่าเด็กอายุ 17 เขามาพูดอย่างนี้เหรอ โอ้โห ดูสิ เขาโคตรเอ็นจอยกับมันเลย แล้วทำไมคุณจะไม่เอ็นจอย ผมว่ายิ่งบ่นยิ่งแก่ เฟซบุ๊กอะไรก็ตามที่คุณไม่เก็ต คุณก็ศึกษามันสิ แล้วคุณก็ทำมันไป สนุกดีออก ผมว่าโลกทุกวันนี้อยู่ง่ายขึ้นกว่าเดิมอีก ชีวิตไม่ได้ซับซ้อนนะครับ เราต่างหากที่คิดว่ามันซับซ้อน
ตอนตัดสินใจเผาสะพานที่ตัวเองเคยสร้างมา คุณรู้สึกอย่างไร
ตอนประกาศจะว่าเผาสะพานไปไลฟ์แล้ว ตอนนั้นผมก็มีความกลัวนะว่าเราคิดถูกหรือเปล่า เงินมันจะมีไหมวะ แต่คิดแค่คืนเดียวครับ เพราะเมื่อเลือกตัดสินใจแล้วเราก็ต้องไปเลย คือไม่ทำรายการแบบเดิมแล้ว
แต่ที่ผ่านมาก็มีช่วงที่ผมกลับไปทำรายการโทรทัศน์อยู่พักหนึ่ง ตอนนั้นฟังคนอื่นมาเยอะว่ามีหน้าอยู่ในทีวีก็ดีนะ ชาวบ้านจะได้ไม่ลืม เพราะผมยอมรับเลยว่าที่ผมดัง 2-3 ปีที่ผ่านมาไม่ใช่เพราะรายการนะ แต่เพราะผมขายกระทะ หน้ามันออกทุก 5 นาทีไง ผมก็ยอมรับว่ากระทะมันทำให้เราแมสจริงๆ ตอนนั้นก็เลยเกิดไอเดียว่าถ้าจะกลับไปทีวีใหม่ก็ต้องเป็นรายการที่แมส ก็เลยไปเป็นพิธีกรเกมโชว์ แต่ทำได้เกือบปีก็เลิก เพราะรู้สึกว่ามันไม่ใช่ เขาอยากให้เราเล่นใหญ่ๆ เหมือนเดิม ผมก็แสร้งทำเป็นเดือนนะ จนวันหนึ่งรู้สึกว่ามันไม่ใช่ มันไม่ตื่นเต้นแล้ว
น่าสนใจตรงที่รายการโทรทัศน์เคยเป็นงานที่คุณรักมาก แต่กลายเป็นว่าคุณก็เคยมีจุดที่รู้สึกว่างานนี้มันไม่ตอบโจทย์ชีวิตแล้ว ไปจนถึงเคยเกิดความรู้สึกว่าเบื่องาน คุณได้เรียนรู้อะไรจากความรู้สึกเบื่องานตรงนั้นบ้าง
อะไรก็ตามที่มันทำแล้วไม่ใช่หรือรู้สึกว่ามันผิดจริต อย่าทำ เกิดมาชาตินี้อย่าเสียเวลากับอะไรที่มันไม่ใช่ตัวเรา และมันไม่สร้างคุณค่าให้กับโลก ถ้าคุณสร้างคุณค่าให้กับคนที่มาซื้อของคุณและตัวคุณเอง คุณจะเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลกเลย แต่หลายคนในโลกใบนี้กำลังวิ่งไล่จับอะไรก็ไม่รู้ที่ไม่ได้ทำให้ตัวเองมีความสุข แล้วก็บ่นอีก กูโคตรเบื่องานเลย อ้าว แล้วมึงทำทำไม ผมอยากจะบอกทุกคนที่เอาแต่บ่นเบื่องานว่าลาออกเลยถ้าแน่จริง เพราะคุณไม่แน่ไง คุณก็จะกลายเป็นคนขี้บ่นไปเรื่อยๆ คุณไปอยู่ที่ไหนก็ไม่ดีพอ เพราะคุณไม่เคยคิดจะหาสิ่งที่คุณรักจริงๆ
ผมคิดว่าคนที่โตขึ้นมาจนรู้ว่าตัวเองไม่ต้องการอะไรแล้วก็ยังไม่หานี่น่าสงสาร เหมือน Google Maps มันถามว่าคุณจะไปที่ไหน แล้วคุณก็ไม่ใส่อะไรสักอย่างว่าตกลงจะไปที่ไหน ไม่มีคำตอบ destination unknown แล้วคุณก็อยู่มา 10 ปีโดยไม่ใส่เป้าหมายที่จะไป เพราะคุณไม่กล้าไง คุณกลัว จริงๆ แล้วไม่ใช่ว่าไม่รู้นะว่าจะทำอะไร คุณไม่กล้าตัดสินใจอะไรเลย ประเทศเราถูกเลี้ยงมาให้กลัวไว้ก่อน แล้วก็บอกกันว่าอย่าเฟลนะ เพราะพลาดแล้วเดี๋ยวมันจะเจ็บ แต่หารู้ไม่ว่าชีวิตแม่งเจ็บทุกคน
คุณเองก็เจ็บมาเยอะเหมือนกัน
ผมว่ามนุษย์ทุกคนล้มหมด ผมไม่คิดว่าตัวเองล้มเยอะกว่าใคร แต่เวลาเราล้มมันมีแผลเป็นนะ แล้วแผลเป็นนั้นมันโคตรดีเลย ผมเปรียบเทียบอย่างนี้ครับ การทำงานหรือการทำธุรกิจก็เหมือนการเข้ายิม คุณต้องทำให้กล้ามเนื้อมันฉีกขาด แล้วมันจะซ่อมแซม มันจะกลายเป็นกล้ามเนื้อที่ยิ่งใหญ่และแข็งแกร่ง
ผมได้เรียนรู้อย่างหนึ่งจากประสบการณ์ของตัวเองเลยนะว่า ถ้าปัญหามันแก้ไม่ได้ก็ไม่ต้องแก้ เราก็แค่ปล่อยวาง แก้ได้ก็แก้ ปัญหาคือส่วนใหญ่มันแก้ไม่ได้แล้วยังดึงดันจะแก้มันอยู่ได้ไง ผมเจอเรื่องราวเยอะมากจนปล่อยวาง พอปล่อยวางเสร็จปุ๊บก็รู้สึกว่า เฮ้ย มันเบาดีว่ะ ไม่ต้องทำทุกอย่าง ไม่ต้องแก้ทุกอย่าง ไม่ต้องได้ทุกอย่าง ไม่ต้องมีทุกอย่าง
ผมคิดว่าสิ่งที่ดีที่สุดคือหาแพสชันของตัวเองว่าชอบอะไร ลองทำมันทุกอย่าง ลองให้หมด แล้วคุณจะค้นพบว่าเรามีคุณค่าเมื่อได้ทำอะไรที่ใช่ในชีวิต อย่างเด็กบางคนไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร ไปฝึกงานสิ ไปทำงานฟรีสิ ผมว่าคนที่ไม่รู้แพสชันของตัวเอง บางทีก็แค่ขี้เกียจรับผิดชอบและกลัวที่จะเฟล ผมให้กำลังใจนะครับ อย่างน้อยถ้าคุณรู้ว่ายังหาตัวเองยังไม่เจอ คุณก็ต้องเริ่มหาได้แล้ว แล้วก็หาต่อไปเรื่อยๆ อย่าหยุด ไม่อย่างนั้นตายไปแล้วมันเสียชาติเกิด
แล้วอะไรคือแพสชันในชีวิตของคุณตอนนี้
ตอนที่เราทำรายการทอล์กโชว์ที่ถามแรงๆ เราก็ให้ความสะใจกับคนดู แต่ทำไมเราไม่เห็นมีความสุขเลยล่ะ สมัยก่อนผมสนใจเรื่องชาวบ้านมาก ต้องรู้ให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น อย่างถ้าวันนี้ก็ต้องรู้ให้ได้ว่าเจนี่กับใหม่ รัชดา เขาโกรธกันเพราะอะไร สมัยก่อนคืออยากรู้มาก แต่เดี๋ยวนี้มันไปอยากรู้เรื่องอื่นมากกว่า อยากรู้ว่าเราจะทำอย่างไรให้คนทั้งประเทศสุขภาพดี หรือว่าชาติเราจะต้องมีนวัตกรรมอะไรที่ทำให้ประเทศเดินไปข้างหน้า คำถามมันเริ่มเปลี่ยนแล้วไงครับ แล้วพอมันเป็นคำถามแบบนั้น มันจะไม่กลับไปถามว่าสองคนมีปัญหาอะไรกัน เพราะเมื่อเราเกาะแต่ปัญหาดาราปุ๊บ ผมใช้คำนี้แล้วกัน มันเหมือนเราว่ายวนอยู่ในบ่อ แต่ถ้าคุณเปลี่ยนวิธีตั้งคำถาม คุณก็ไปว่ายในมหาสมุทร ความรู้สึกมันคนละแบบ ก็อยากจะเชื้อเชิญให้ลองตั้งคำถามใหม่ๆ กับชีวิตดูบ้าง
ผมว่าการได้ทำ FitFest คือความสุขของผม การทำอะไรให้คนเปลี่ยนชีวิต หันมาดูแลสุขภาพ มันทำให้เรารู้สึกมีความหมายมากเลยครับ ผมคงโชคดีที่เราก็มาถึงจุดหนึ่งที่มีเงิน ดังนั้นเราก็เลยสามารถที่จะทำสิ่งนี้ได้ ผมก็คงทำอะไรก็ได้ที่มันหาเงินให้ได้เร็วที่สุด
ผมอยากจะบอกทุกคนที่เอาแต่บ่นเบื่องานว่าลาออกเลยถ้าแน่จริง เพราะคุณไม่แน่ไง คุณก็จะกลายเป็นคนขี้บ่นไปเรื่อยๆ คุณไปอยู่ที่ไหนก็ไม่ดีพอ เพราะคุณไม่เคยคิดที่จะหาสิ่งที่คุณรักจริงๆ
จุดเปลี่ยนที่ทำให้คุณกลายมาเป็นคนจริงจังในการดูแลสุขภาพคืออะไร
เมื่อก่อนความที่ผมเป็นคนบันเทิง ผมก็จะสนุกกับการปาร์ตี้ จนวันหนึ่งผมปาร์ตี้ถึงเช้าและกำลังกลับบ้าน ผมเห็นคนกำลังวิ่งออกกำลังกายตอนเช้า แล้วผมก็ถามตัวเองว่า โห เรานี่เมาเหมือนหมาเลยนะ แต่คนอื่นตื่นมาออกกำลังกาย เขาดูสดใส เขาแข็งแรง เฮ้ย เราทำอะไรอยู่ อันนั้นก็เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ผมทำ เกิดมาคุย เทปที่ลุกขึ้นมาออกกำลังกาย และพอทำแล้วมันดีกับชีวิตเราจริงๆ ไม่ใช่แค่สุขภาพร่างกาย แต่มันทำให้จิตใจเราดีไปด้วยจากการที่ร่างกายเราดี เราคิดงานอะไรก็ออกหมดเลย จิตใจเราเองก็เปลี่ยน
ร่างกายคุณมันบอกอะไรบ้างจากการออกกำลังกาย
ร่างกายมันมหัศจรรย์นะครับ มันบอกเราอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่เราต้องใส่ใจสิ่งที่ร่างกายบอก มันบอกหมดเลยนะว่ากินอันนี้เข้าไปไม่ดี เดี๋ยวมันจะไปพอกเป็นไขมันที่หน้าท้อง กินอันนี้แล้วดีจังเลย ร่างกายเราแข็งแรงขึ้น ผิวพรรณเราเปล่งปลั่ง พอเครียด ร่างกายเราก็บอกอีกว่ามันไม่ดี เพราะเรานอนไม่หลับ เราล้าไปหมด พวกนี้ร่างกายบอกเราตลอดเวลา ตอนนี้ผมกำลังมีเป้าหมายใหม่ที่เกี่ยวกับสุขภาพนี่แหละ อยากจะทำลายขีดจำกัดของตัวเองด้านสุขภาพไปอีก ยังไม่บอกแล้วกันครับว่าเป็นอะไร แต่จะเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยทำมาก่อน ถ้าทำได้ผมว่ามันก็น่าจะมีอิมแพ็กกับทั้งตัวผมและคนอื่นๆ
คิดว่าการที่คุณทำให้คนหันมาดูแลสุขภาพได้จะสร้างการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง
ผมพบว่าตั้งแต่ผมลุกขึ้นมาจริงจังกับการออกกำลังกายและการดูแลสุขภาพ ผมได้รับข้อความทั้งจากโซเชียลมีเดียและจากที่คนเดินเข้ามาบอกผมเองว่าเขามีสุขภาพดีขึ้น ซึ่งตอนนี้ผมเองก็คุยกับทีมงานว่าเรามาสร้าง FitFest ให้เป็นแพลตฟอร์มข้อมูลด้านสุขภาพกันจริงจังไปเลยดีกว่า ซึ่งตอนนี้เรากำลังพัฒนากันอยู่
มีคนเคยถามผมเหมือนกันว่าถ้าผมสามารถเปลี่ยนแปลงประเทศไทยได้หนึ่งอย่าง อยากจะเปลี่ยนอะไร ผมคิดว่าความสร้างสรรค์เราก็มีนะ ความตั้งใจเราก็มี แต่อะไรนะที่มันเป็นอย่างเดียวที่มันติด อ๋อ วินัย ผมว่าเราถ้าเราสอนเรื่องวินัยตั้งแต่เด็ก ทุกเรื่องที่ตามมาหายหมด ผมว่าวินัยมันจะเปลี่ยนทุกอย่าง แล้วมันใช้ได้กับทุกเรื่องด้วยครับ นี่คือสิ่งที่ผมเชื่อ ซึ่งการออกกำลังกายมันฝึกให้เรามีวินัยไปในตัว พอเราออกกำลังกายจนเป็นวินัยแล้วเราจะมีระบบความคิดที่ดีไปด้วย เราจะรักตัวเอง ทำแต่สิ่งดีๆ ให้ตัวเอง พี่ตูนก็ไม่ต้องมาวิ่งอะไรขนาดนี้ สงสารพี่ตูนกันบ้างเถอะ (หัวเราะ)
บทเรียนในชีวิต 3 ข้อที่คุณได้เรียนรู้จากการเกิดเป็นวู้ดดี้และอยากแบ่งปันกับคนอื่นคืออะไร
หนึ่ง คุณต้องออกกำลังกายทุกวัน เพราะร่างกายของคุณต้องถูกกระตุ้นให้มีการเคลื่อนไหว เพื่อที่สมองมันจะได้ไปคิดอะไรได้มากมาย เพราะเมื่อคุณไม่ออกกำลังกายปุ๊บ เลือดมันก็ไม่หมุนเวียน ร่างกายมันไม่เฟรช พอมันไม่เฟรช ไอเดียก็ล้า ดังนั้นคุณต้องขยับเขยื้อนแล้วทำให้มันเป็นเรื่องปกติจนตาย อย่าออกกำลังกายเป็นเทศกาล คุณต้องออกกำลังกายทุกวัน
เรื่องที่สองที่ผมอยากจะแชร์ก็คือทุกอย่างดีเสมอ เช่น ถ้าแฟนบอกเลิก มันก็เป็นเรื่องดี เพราะเดี๋ยวคุณจะได้เจอคนใหม่ หรือการที่คุณโดนไล่ออกจากที่ทำงาน ไม่เป็นไร เดี๋ยวงานใหม่ดีๆ รออยู่ การที่คุณบอกว่าวันนี้ไม่มีเงินในบัญชี ดี คุณกำลังจะกลายเป็นคนซึ่งมีแรงผลักดันยิ่งใหญ่เพื่อที่จะหาเงินเป็นพันๆ ล้าน ดังนั้นทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตมันโคตรดีเสมอเลย อย่าไปโทษอะไรทั้งสิ้น มันต้องเป็นอย่างนั้น แค่เดินหน้าต่อไป
และอย่างที่สามคือเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราใช้ชีวิตอย่างถูกวิธี ในแต่ละวันมันจะมีตัวอย่างหนึ่งที่ต้องทำ ถ้าคุณไม่ทำสิ่งนี้ทุกวันแปลว่าคุณใช้ชีวิตผิด นั่นก็คือในทุกๆ วันอย่างน้อย 1 นาทีหรือ 1 ชั่วโมงก็ได้ คุณจะต้องหัวเราะดังๆ คุณต้องเอ็นจอยกับชีวิต แต่คนส่วนใหญ่ตื่นมาแต่เช้าแล้วอย่างแรกที่ทำคือ โอ๊ย กูต้องทำงานอีกแล้ว แล้วชีวิตคุณจะดีได้ยังไง ตื่นมาแล้วคุณต้องยิ้ม และไม่ใช่แสร้งยิ้ม มันต้องยิ้มมาจากข้างใน เพราะเมื่อคุณยิ้มมีความสุขปุ๊บ ร่างกายคุณกำลังทำอะไรรู้หรือเปล่า เอาสิ มึงพร้อมแล้ว ลุย โลกนี้เป็นของเรา ถ้าคุณตื่นมาพูดว่า โอ๊ย กูเหนื่อย คุณจะเหนื่อยจนตาย
ข้อสุดท้ายคือต้องคบคนพลังบวก คุณจะได้หัวเราะทั้งวัน พวกที่มันสนุกๆ ตลกๆ เก็บมันไว้นะ เพราะพวกนี้จะทำให้คุณไม่เป็นมะเร็ง มันจะทำให้คุณมีความสุขมาก ส่วนเพื่อนที่พูดจาลบๆ เช่น ยากนะมึง เป็นไปไม่ได้หรอก ทำทำไม คุณก็ต้องห่างๆ พวกนี้ไว้หน่อย เราต้องรักทุกคน เกิดมาในโลกนี้เราไม่ควรเกลียดใคร เราแค่ห่างๆ ไว้
ผมจะเพิ่มให้อีกข้อหนึ่งคือหยุดเปรียบเทียบทุกสิ่งในโลก แล้วชีวิตคุณจะเบา จริงๆ ทุกวันนี้ที่เราไม่แฮปปี้เพราะเราเปรียบเทียบไงครับ แล้วรู้ไหมว่าตัวเปรียบเทียบอยู่ตรงไหน อยู่ตรงโซเชียลมีเดียนี่แหละ คุณไม่รู้ตัวว่ากำลังเปรียบเทียบชีวิตตัวเองกับคนอื่นตลอดเวลา แล้วมันไม่ใช่คนเดียวด้วยนะ เป็นแสนเป็นล้านคนพร้อมๆ กัน หยุดเปรียบเทียบแล้วโฟกัสที่ชีวิตของตัวเอง เดินหน้ากับการสร้างตำนานให้ตัวเอง เป็นฮีโร่ของตัวเอง เป็นคนที่กำหนดชีวิตตัวเอง แล้วก็สร้างประวัติศาสตร์ให้กับตัวเอง
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์