จากเดิมที่การเข้ารับราชการทหารของผู้หญิงเกาหลีเหนือส่วนใหญ่มาจาก ‘ความสมัครใจ’ แต่เมื่อปี 2015 รัฐบาลภายใต้การนำของผู้นำสูงสุดรุ่นที่ 3 อย่าง คิมจองอึน มีคำสั่งให้ผู้หญิงเกาหลีเหนือ ‘ทุกคน’ ที่มีอายุครบ 18 ปี จะต้องเข้ารับราชการเป็นพลทหารในกองทัพโสมแดงเป็นเวลาอย่างน้อย 7 ปี (ยกเว้นในบางกรณีที่มีความสามารถพิเศษทางด้านดนตรีหรือกีฬาที่โดดเด่น) ในขณะที่ผู้ชายจะมีหน้าที่ต้องรับราชการทหารอย่างน้อยถึง 10 ปี นับเป็นประเทศที่มีระยะเวลา (ขั้นต่ำ) บังคับรับราชการทหารยาวนานที่สุดในโลก
อีโซยอน หนึ่งในอดีตทหารหญิงของกองทัพโสมแดง กองทัพซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 4 ของโลก ที่ตัดสินใจสมัครเข้ากองทัพด้วยความสมัครใจเผยว่า ความผิดปกติของประจำเดือน ถูกข่มขืน และกลายเป็นวัตถุทางเพศของผู้ชายในกองทัพ คือความเลวร้ายที่ทหารหญิงของประเทศปิดแห่งนี้จะต้องเผชิญ
เธอเล่าให้ฟังว่า ถึงแม้กาลเวลาจะล่วงเลยมานานหลายสิบปี แต่ภาพของช่วงเวลาที่เธอและเพื่อนๆ เคยรับราชการทหารในกองทัพยังคงเด่นชัดในความคิดของเธอจนถึงทุกวันนี้
“ฟูกที่เรานอนทำมาจากเปลือกข้าว (แกลบ) พอเวลาเหงื่อออกก็จะซึมลงฟูก ทั้งกลิ่นเหงื่อและกลิ่นอื่นๆ โดยเฉพาะกลิ่นฟูก ไม่ค่อยน่ารื่นรมย์สักเท่าไร”
เธอเล่าอีกว่า ปัญหาที่เหล่าบรรดาทหารหญิงจะต้องเจอ คือ ความไม่สะดวกสบายในการอาบน้ำ ภายในกองทัพไม่มีน้ำอุ่นให้อาบ น้ำที่ใช้มาจากท่อน้ำที่ต่อตรงจากกระแสน้ำบนภูเขา จึงมักจะมีกบและงูให้พวกเธอต้องคอยระวังอยู่เป็นประจำ
ร่างกายอ่อนล้าและประจำเดือนไม่มาตามนัด
โซยอน ลูกสาวอาจารย์มหาวิทยาลัย วัย 41 ปี ที่เติบโตในหมู่บ้านทางตอนเหนือของประเทศเล่าว่า สมาชิกในครอบครัวของเธอที่เป็นผู้ชายส่วนใหญ่รับราชการทหาร และในช่วงข้าวยากหมากแพง เศรษฐกิจตกต่ำราวทศวรรษ 1990 เธอในวัยเพียง 17 ปี จึงอาสาสมัครเข้ารับราชการทหารในกองทัพโสมแดง เพื่อจะการันตีว่า เธอจะมีข้าวกินในแต่ละมื้อ และมีผู้หญิงจำนวนไม่น้อยตัดสินใจทำแบบเดียวกับเธอ
แบคจีอึน นักเขียนและผู้เชี่ยวชาญด้านเกาหลีเหนือเผยว่า “ยุคข้าวยากหมากแพงที่เกิดขึ้นนี้ส่งผลกระทบต่อผู้หญิงเกาหลีเหนือโดยตรง ผู้หญิงจำนวนมากต้องถูกบังคับใช้แรงงาน ถูกทารุณ รวมถึงถูกใช้กำลังความรุนแรงและตกเป็นเหยื่อของการคุกคามทางเพศ
“เกาหลีเหนือยังคงเป็นสังคมที่ผู้ชายเป็นใหญ่ บทบาทและตำแหน่งแห่งที่ยังคงถูกกำหนดด้วยเพศ จึงไม่น่าแปลกใจที่พวกเขายังมองว่าห้องครัวยังเป็นพื้นที่สำหรับผู้หญิงเท่านั้น”
อีโซยอน ยังเล่าอีกว่า หลังจากที่ผ่านการฝึกไปแล้วประมาณ 6 เดือน ประจำเดือนของเธอและเพื่อนๆ ก็ไม่มาอีกเลย เนื่องจากภาวะขาดสารอาหาร สภาวะแวดล้อมที่ตึงเครียดและการฝึกที่หนักหน่วงภายในกองทัพ ทหารหญิงส่วนใหญ่พูดว่าพวกเธอรู้สึกดีใจที่ประจำเดือนไม่มาในช่วงที่ทำการฝึก มิเช่นนั้นอาจจะยิ่งทำให้สถานการณ์ต่างๆ แย่ลง
การที่ประจำเดือนไม่มาหรือมาแต่ไม่ตรงช่วงเวลาปกติ จะยิ่งทำให้ผู้หญิงที่รับราชการทหารในกองทัพประสบความยากลำบาก หลายคนไม่มีทางเลือก ต้องยอมใช้ผ้าอนามัยซ้ำอีกครั้ง เนื่องจากขาดแคลนผ้าอนามัยในกองทัพ บางคนถึงกลับยอมตื่นเช้าเพื่อซักผ้าอนามัยชิ้นเดิมและนำกลับมาใช้ใหม่อีกครั้ง
การเปลี่ยนแปลงนโยบายและออกคำสั่งให้การเข้ารับราชการในกองทัพโสมแดงของผู้หญิงเป็นหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติ ทำให้รัฐบาลเกาหลีเหนือเตรียมจัดหาผ้าอนามัยเกรดพรีเมียมให้แก่หน่วยที่มีผู้หญิงประจำการอยู่มากที่สุด ซึ่งอาจรวมถึงเครื่องสำอางแบรนด์ดังที่ผลิตเองในกรุงเปียงยาง ที่คิมจองอึนอ้างว่าเป็นผลิตภัณฑ์เสริมความงามที่สามารถแข่งขันกับแบรนด์ระดับโลกอย่าง Lancome, Chanel และ Christian Dior ได้เลยทีเดียว ซึ่งเริ่มแจกจ่ายให้กับทหารหญิงจำนวนไม่น้อยในหน่วยการบินได้ทดลองใช้กันแล้ว
ถูกลดทอนคุณค่าและกลายเป็นวัตถุทางเพศ
อีโซยอน ยังเล่าอีกว่า ช่วงที่เธอรับราชการทหารเธอยังโชคดีที่ไม่ตกเป็นเหยื่อกามารมณ์ของนายทหารชั้นผู้ใหญ่ แต่ความโชคดีนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับบรรดาเพื่อนๆ ของเธอ “ผู้บังคับบัญชาจะอยู่ในห้องของเขาที่หน่วยนานหลายชั่วโมง เขาจะข่มขืนบรรดาเหล่าทหารหญิงใต้บังคับบัญชา สิ่งนี้เกิดขึ้นเรื่อยมา ครั้งแล้วครั้งเล่าและดูท่าจะไม่มีวันสิ้นสุด”
อีแดอึน หนึ่งในอดีตทหารหญิงที่เคยมีประสบการณ์อันเลวร้ายภายในกองทัพโสมแดงยืนยันว่า มีการข่มขืนทหารหญิงเกิดขึ้นจริงภายในกองทัพ “ช่วงแรกที่ฉันเข้ารับการฝึกและประสบปัญหาทุพโภชนาการ น้ำหนักของฉันลดลงเหลือเพียง 37 กิโลกรัม วันหนึ่งนายพลคนหนึ่งอายุประมาณ 45 ปี พยายามที่จะข่มขืนฉัน เขาบอกให้ทุกคนออกไปจากห้องยกเว้นฉันคนเดียว ก่อนที่จะลงมือล่วงละเมิดทางเพศฉัน หลังจากนั้นเขาก็ทำร้ายฉันจนฟันหัก มีเลือดออกในช่องหู พร้อมกับขู่ว่า ถ้าฉันเอาเรื่องนี้ไปบอกใคร เขาจะทำให้ฉันมีอยู่ชีวิตอยู่ราวกับตกอยู่ในขุมนรกตลอดไป”
แบคจีอึน ผู้เชี่ยวชาญด้านเกาหลีเหนือยังเสริมว่า “กองทัพดูเหมือนว่าจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ หากนายทหารคนใดกระทำการล่วงละเมิดทางเพศผู้อื่น จะถือเป็นการผิดวินัยร้ายแรงต้องโทษจำคุกสูงสุดนานถึง 7 ปี แต่พอถึงเวลาก็ไม่มีใครกล้าพูดความจริงและเป็นพยานให้สักคน และพวกผู้ชายเหล่านั้นก็ไม่ถูกลงโทษ ความเงียบนี้เองที่ยังคงทำให้สภาพสังคมชายเป็นใหญ่ยังคงแข็งแกร่งอยู่ภายในสังคมแห่งนี้”
ยังมีเรื่องราวของคนตัวเล็กตัวน้อยอีกมากมายที่พยายามต่อสู้กับระบอบและโครงสร้างที่มันบิดเบี้ยวนี้อย่างยากลำบาก โดยพวกเธอหวังเพียงว่าสักวันหนึ่งเสียงของตัวเองจะดังขึ้น จะถูกรับฟัง และมีความหมาย รวมถึงช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นภายในสังคมเกาหลีเหนือ แม้จะต้องใช้เวลานานแค่ไหนก็ตาม
Photo: AFP
อ้างอิง: