วันนี้ (22 ตุลาคม) ที่กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) ภายหลังจาก วิฑูรย์ เก่งงาน ทนายความของ บอสพอล-วรัตน์พล วรัทย์วรกุล เข้าพบ พล.ต.ต. จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อให้ข้อมูลหลักฐานขณะบอสพอลจ่ายเงินกับนักร้องเรียน และแจ้งความดำเนินคดีกับนักร้องเรียนทั้งหลาย
พล.ต.ต. จรูญเกียรติ เปิดเผยว่า ตนประสานข้อมูลจากบอสพอลตั้งแต่วันที่ถูกจับกุมแล้ว ซึ่งบอสพอลให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีในการให้ข้อมูลต่างๆ ที่มีกลุ่มบุคคลเข้ามาบีบบังคับ ขูดรีด หรือหาช่องว่างโอกาสต่างๆ มาทำให้บริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด เดือดร้อน ซึ่งหลังจากนี้ทนายความในฐานะตัวแทนจะทยอยนำข้อมูลต่างๆ เข้ามาให้พนักงานสืบสวนสอบสวนดำเนินการต่อไป
เมื่อถามว่าจากการพิจารณาคลิปหลักฐานถือว่ามีความน่าเชื่อถือหรือไม่ พล.ต.ต. จรูญเกียรติ กล่าวว่า เรียกได้ว่ามีประโยชน์ต่อรูปคดีในเรื่องการสืบสวน โดยหลักฐานในวันนี้มีทั้งคลิปเสียง วิดีโอ และภาพนิ่ง โดยจะขยายผลไปถึงทุกคนที่เข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นนักร้องเรียนหรือเจ้าหน้าที่ โดยจะบังคับใช้กฎหมาย
พล.ต.ต. จรูญเกียรติ กล่าวต่อว่า คลิปที่ได้มามาจากความร่วมมือของหลายคนที่อยู่ในเหตุการณ์หลายช่วงเวลา ซึ่งตอนนี้คลิปมีจำนวนมาก จะต้องไล่ดูแต่ละคลิป โดยกลุ่มรีดทรัพย์ไม่รู้ตัวว่าบอสพอลบันทึกวิดีโอและเสียงไว้เป็นหลักฐาน นอกจากนี้ตนได้รับรายงานว่าโทรศัพท์อีกเครื่องของบอสพอลเปิดได้แล้ว แต่ไม่พบข้อมูลอะไร
และในส่วนที่มีนักร้องเรียนหญิงรวบรวมผู้เสียหายที่ขอเงินคืนจากบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด เนื่องจากขายของไม่ได้ ตรงนี้ตนไม่ขอไปยุ่งเกี่ยว เพราะเป็นการทำงานของกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.)
ตำรวจจะทำเรื่องนี้อย่างจริงจัง พร้อมดำเนินคดีกับทุกคน ส่วนข้อหาว่าเข้าข่ายอะไรบ้าง หากเป็นเจ้าหน้าที่รัฐก็จะโดนเรื่องเรียกรับผลประโยชน์ แต่ถ้าเป็นบุคคลธรรมดาก็จะโดนเรื่องกรรโชกทรัพย์ อย่างไรก็ตามจะต้องตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง
สำหรับที่มีบุคคลหนึ่งกล่าวอ้างว่า 1 ใน 18 บอส ยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินไปเป็นเงินดิจิทัลหรือคริปโตเคอร์เรนซี ขอชี้แจงว่าบุคคลดังกล่าวที่มากับ เอกภพ เหลืองประเสริฐ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด มีการสอบสวนไปแล้ว
บุคคลดังกล่าวสารภาพแล้วว่าข้อมูลมั่ว ไม่มีที่มา เป็นการอุปโลกน์ขึ้นมา โดยอ้างว่าถามจากเพื่อนและเสิร์ชหาทางเว็บไซต์โดยที่ไม่มีข้อเท็จจริง ทำให้เกิดความเสียหายต่อหลายองค์กรที่พาดพิงถึง ทั้งนี้ต้องพิจารณาและประชุมหารือว่าจะต้องดำเนินการทางกฎหมายถึงขั้นไหนอย่างไร ส่วนเอกภพจะโดนด้วยหรือไม่ก็ต้องพิจารณากันอีกครั้ง และคาดว่าที่บุคคลดังกล่าวออกมากระทำการเช่นนี้เพราะอยากเรียกร้องความสนใจ
“ขอบคุณผู้ที่มีจิตอาสาทุกคนที่เข้าช่วยเหลือพี่น้องประชาชน แต่ไม่อยากให้เข้ามาเพื่อหาแสง เพราะตอนนี้กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางแสงมันจ้าไปหมด คนถึงเข้ามากัน จึงขอเตือนบางคน ข้อมูลต่างๆ ถ้าคิดว่าจะช่วยเหลือสังคมจะต้องแม่นกฎหมาย ต้องรู้ว่าการกระทำจะไม่หมิ่นเหม่ในข้อกฎหมาย หากเข้ามาแล้วสร้างความวุ่นวาย สร้างความไขว้เขว อันนี้ต้องว่ากัน” พล.ต.ต. จรูญเกียรติ กล่าว