ในยุคที่โลกของการทำงานหมุนเร็วและเหนื่อยกว่าที่เคย ‘การเกษียณไว’ กลายเป็นความฝันใหม่ของคนวัยทำงานจำนวนมาก ก่อนหน้านี้อาจจะเป็นความคิดของคนวัย 40–50 ปี แต่ปัจจุบัน จากคำสนทนาบทโซเชียลมีเดีย ทำให้เรารู้ว่ากลุ่มคนที่พูดคุยเรื่องนี้ เริ่มวางแผนตั้งแต่อายุน้อยลงเรื่อยๆ และเริ่มตั้งคำถามกับชีวิตว่า “จะต้องทำงานหนักไปถึงเมื่อไรถึงจะได้ใช้ชีวิตในแบบที่อยากเป็น”
เพื่อสำรวจปรากฏการณ์นี้ ทีม Wisesight Research ได้วิเคราะห์ข้อมูล Social Listening ระหว่างเดือนมกราคม–กันยายน 2025 พบว่ามีการพูดถึงการเกษียณไว และ FIRE (Financial Independence, Retire Early) รวมกันกว่า 23,024 ข้อความ เพิ่มขึ้นประมาณ 14% จากปีก่อน โดยจำนวนการพูดถึงเกิดขึ้นสม่ำเสมอทุกเดือน และจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในช่วงที่มีคนดังประกาศเกษียณ หรือมีคอนเทนต์เกี่ยวกับอิสรภาพในการใช้ชีวิต
ความฝัน ‘เกษียณตอนอายุ 45’ ไม่ได้เกิดจากความขี้เกียจ แต่เกิดจากความต้องการอิสระและความยั่งยืนในชีวิต เสียงของผู้คนในโลกออนไลน์สะท้อนถึงความเหนื่อยล้าทางใจ และความไม่มั่นคงของรายได้ทางเดียวจากการทำงานในระบบ การเกษียณที่คนรุ่นใหม่พูดถึงจึงหมายถึงการเลิกทำงานประจำ หรือเลิกทำงานที่ทำอยู่เพื่อไปทำอย่างอื่นที่มีอิสระมากขึ้น
เมื่อเจาะลึกถึงเหตุผลที่อยากเกษียณไวมากที่สุด พบว่าคือการอยากมีอิสระทางการเงิน (53%) ตามมาด้วยอยากมีอิสระทางเวลา ได้ทำในสิ่งที่รัก ไม่ผูกติดกับระบบออฟฟิศ (26%) นอกจากนี้ยังอยากใช้ชีวิตแบบสมดุล ได้กลับมาดูแลสุขภาพกายและใจ (11%) และความเหนื่อยล้าจากงานประจำ (10%) โพสต์ส่วนใหญ่ที่ลงรายละเอียดการวางแผนนั้นเป็นไปในโทนบวก สะท้อนถึงแรงบันดาลใจในการสร้างอนาคตที่ดีขึ้น
กลุ่มคนที่พูดถึงเรื่องนี้มากที่สุดคือวัยทำงาน ช่วงอายุ 25–34 ปี (49%) รองลงมาคือกลุ่ม First jobber ช่วงอายุ 18-24 ปี (24%) และช่วงอายุ 35–44 ปี (18%) เมื่อจำแนกตามอาชีพ พบว่าส่วนใหญ่คือ พนักงานออฟฟิศ บริษัทเอกชน หรือข้าราชการ ที่ทำงานประจำ (85%) ตามมาด้วยฟรีแลนซ์ หรือครีเอเตอร์ (12%) และเจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก (3%)
คนกลุ่มนี้มีแนวโน้มที่จะชื่นชอบเพจหรืออินฟลูเอนเซอร์ด้านการเงินส่วนบุคคล การลงทุน และแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต พวกเขายังมีการตั้ง Community ใน X (Twitter) เพื่อพูดคุยกันเรื่อง FIRE หรือการวางแผนทางการเงินเพื่อเกษียณไวโดยเฉพาะ ซึ่งแสดงให้เห็นว่านี่คือความเคลื่อนไหวที่จริงจัง ไม่ใช่แค่การบ่นลอยๆ
เสียงในโลกโซเชียลยังชี้ให้เห็นว่า คนจำนวนมากเริ่ม ‘ลงมือวางแผนเกษียณ’ อย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น รูปแบบที่ถูกพูดถึงมากที่สุดคือ การออมอัตโนมัติ (45%) เช่น บัญชีเงินฝากดอกเบี้ยสูง หรือออมกับกองทุนรวม ตามมาด้วย การซื้อประกัน (23%) การลงทุนในหุ้นและคริปโตฯ (20%) และการมีอาชีพเสริม (10%) เช่น ขายของออนไลน์ หรือสร้างคอนเทนต์
อย่างไรก็ตาม แม้หลายคนจะพูดถึงการเกษียณไวอย่างมีแรงบันดาลใจ แต่อีกด้านในโซเชียลยังเต็มไปด้วยเสียงของความกังวล โดยความรู้สึกเชิงลบที่พบมากที่สุดคือ กลัวเงินไม่พอใช้ (71%) เนื่องจากยังมีภาระหนี้สิน มีครอบครัวที่ต้องดูแล และปัญหาเงินเฟ้อที่บั่นทอนเงินเก็บ
ความกังวลรองลงมาคือ กลัวไม่มีงานรองรับหลังเกษียณ (23%) เพราะกังวลว่าบริษัทส่วนใหญ่ไม่รับคนอายุ 35 ขึ้นไปเข้าทำงาน ประกอบกับสภาวะเศรษฐกิจไม่ดี มีข่าวการ Layoff บ่อยครั้ง และการที่ AI อาจเข้ามาทำงานแทนคนได้ นอกจากนี้ ยังมีความกังวลเรื่องกลัวค่ารักษาแพงตอนแก่ (6%)
กระแส ‘เกษียณไว’ นี้ กำลังเปิดโอกาสใหม่ให้กับหลายธุรกิจและอุตสาหกรรม โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวกับ การเงิน, สุขภาพ, และไลฟ์สไตล์หลังเกษียณ หมวดธุรกิจที่ถูกพูดถึงควบคู่กับการวางแผนเกษียณมากที่สุด ได้แก่ บริษัทประกันชีวิตและประกันสุขภาพ (48%) ตามด้วย ธนาคารและสถาบันการเงิน (24%)
นอกจากกลุ่มการเงินแล้ว ธุรกิจบริการสุขภาพและฟิตเนส (13%) และ การท่องเที่ยว หรือ Wellness Retreat (9%) ก็ถูกพูดถึงด้วยเช่นกัน สะท้อนว่าคนกลุ่มนี้ไม่ได้วางแผนแค่เรื่องเงิน แต่ยังวางแผนเรื่องสุขภาพและการใช้ชีวิตไปพร้อมกันด้วย
คีย์เวิร์ดใหม่ที่เริ่มปรากฏบ่อยขึ้น เช่น Wellness Living, Health is the new Wealth, Passive Health Plan, และ ‘Luxury ไม่ใช่ของแพง แต่คือ อิสระในการใช้ชีวิต’ สะท้อนแนวโน้มว่า การเกษียณจะกลายเป็น lifestyle choice มากกว่าช่วงเวลาบั้นปลายชีวิตแบบเดิม
สรุปได้ว่า การเกษียณไวไม่ใช่แค่ความฝัน แต่คือ การนิยามแบบชีวิตใหม่ เสียงในโลกโซเชียลกำลังบอกเราว่า คนรุ่นใหม่ไม่ได้หนีงาน แต่กำลังหาชีวิตที่สมดุล พวกเขาอยากใช้เวลาในวัยกลางคนอย่างมีคุณค่า และพร้อมจะลงทุนทั้งเงินและเวลาเพื่อไปถึงจุดนั้น การเกษียณไว คือการเกษียณจากความเหนื่อย เพื่อเริ่มต้นใช้ชีวิตในแบบที่เลือกเอง
ภาพ: aslysun / Shutterstock


