ปฏิเสธไม่ได้ว่า ณ วินาทีนี้ แอปพลิเคชันแชร์คลิปวิดีโอสั้นสัญชาติจีนอย่าง TikTok ได้กลายเป็นแอปโซเชียลมีเดียยอดนิยมแห่งยุค ที่กำลังมาแรงถึงขั้นทำให้โซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่อย่าง Facebook และ YouTube สั่นสะเทือน ทั้งจากยอดผู้ใช้งาน การดาวน์โหลด และรายได้ของ TikTok จากทั่วโลก ที่พุ่งทะยานแบบก้าวกระโดดปีละนับร้อยเปอร์เซ็นต์
แต่ความนิยมของ TikTok ก็มาพร้อมคำถามและข้อกังขา โดยเฉพาะจากสหรัฐฯ คู่ปรับอันดับ 1 ของจีน ที่ตลอดหลายปีที่ผ่านมามีความพยายามในการ ‘แบน’ TikTok โดยระบุเหตุผลด้านความมั่นคง จากความกังวลที่รัฐบาลจีนอาจมีความเชื่อมโยงหรือมีอิทธิพลต่อ TikTok ถึงขั้นที่สามารถ ‘ล้วงข้อมูล’ ที่มีความสำคัญ อาทิ ข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ในต่างประเทศ เนื่องจากบริษัทแม่อย่าง ByteDance ยังคงอยู่ภายใต้กฎหมายความมั่นคงและกฎหมายข่าวกรองแห่งชาติของจีน
กรณีที่ถูกจับตามองเกิดขึ้นเมื่อ 23 มีนาคมที่ผ่านมา หลังโจวโซ่วจือ ซีอีโอของ TikTok ถูกคณะกรรมาธิการด้านพลังงานและการพาณิชย์ของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ เรียกไต่สวน โดยใช้เวลาไปกว่า 5 ชั่วโมงในการซักถามอย่างเข้มข้น และให้โจวชี้แจงประเด็นต่างๆ ทั้งสายสัมพันธ์ระหว่าง TikTok กับรัฐบาลปักกิ่ง ตลอดจนข้อกล่าวหาว่าไม่สามารถสกัดกั้นคอนเทนต์ที่ ‘เป็นอันตราย’ ซึ่งก่อผลกระทบต่อเด็ก และการปิดกั้นเนื้อหาที่ละเอียดอ่อนต่อจีน
ส.ส. สหรัฐฯ มองว่าคำตอบของโจวในหลายประเด็นนั้นคลุมเครือ แต่ถึงกระนั้นท่าทีของสภาคองเกรสในการไต่สวนที่ดุเดือดก็ทำให้เกิดคำถามจากจีนและหลายฝ่าย โดยเฉพาะการตั้งแง่แบบไร้หลักฐาน ชนิดที่แทบจะเป็นการฟันธงไปแล้วว่า TikTok เป็นแอปที่อันตรายต่อผู้ใช้ชาวอเมริกันกว่า 150 ล้านคน
ขณะที่ความเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้ รัฐบาลสหรัฐฯ ยังมีการดำเนินการอย่าง ‘เอาจริงเอาจัง’ ทั้งแบน TikTok ในอุปกรณ์ของหน่วยงานรัฐ ผลักดันกฎหมายเพิ่มอำนาจให้ประธานาธิบดีแบน TikTok และเทคโนโลยีอื่นจากจีนได้ทั่วประเทศ
แต่ความพยายามในการแบน TikTok ที่ได้รับความนิยมมหาศาลในหมู่ชาวอเมริกัน ยิ่งทำให้เกิดกระแสต่อต้าน และมีการตั้งข้อสงสัยว่าเป็นการดำเนินการด้วยเหตุผลด้านความมั่นคงจริงๆ หรือว่าทั้งหมดเป็นแค่เกมการเมือง เพื่อขัดขวาง หรือ ‘เตะตัดขา’ บริษัทเทคจากจีนที่กำลังทะยานสู่การเป็นยักษ์ใหญ่โซเชียลมีเดียระดับโลก