×

เปิดเหตุผลที่ทุกคนควรทำ ‘พินัยกรรม’ ไว้ก่อนเสียชีวิต มีความสำคัญอย่างไร

20.03.2025
  • LOADING...
พินัยกรรม

‘พินัยกรรม’ ถือเป็นเครื่องหนึ่งที่สำคัญของผู้ที่ทรัพย์สินหรือเจ้ามรดกที่จะทำไว้ก่อนที่ตนเองจะเสียชีวิต เพื่อมอบทรัพย์สินนั้นให้ทายาทหรือบุคคลที่เจ้ามรดกต้องการมอบให้ แต่ในการทำพินัยกรรม ยังมีรายละเอียดเกี่ยวข้องอีกหลายประเด็นที่ควรรู้ 

 

ดร.นิติ เนื่องจำนงค์ ผู้อำนวยการอาวุโส Wealth Planning and Family Office ธนาคารไทยพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Morning Wealth ระบุว่า การทำพินัยกรรมของเจ้ามรดกถือว่าสำคัญกับทุกครอบครัว จึงแนะนำว่าทุกคนควร พิจารณาทำพินัยกรรมก่อนเสียชีวิต โดยควรพิจารณาให้ความสำคัญใน 4 เรื่อง ดังนี้ 

 

เรื่องที่ 1 การกำหนดรายชื่อทายาทหรือผู้รับมรดก ว่าจะเป็นบุคคลใด

 

เรื่องที่ 2 การจัดสรรแบ่งทรัพย์สินว่าจะมีการแบ่งให้ทายาทคนใดเป็นผู้รับทรัพย์สินส่วนใดบ้าง รวมถึงการจัดสรรแบ่งธุรกิจในครอบครัว

 

เรื่องที่ 3 การกำหนดสัดส่วนของทรัพย์สินที่มีการจัดสรรแบ่งให้กับทายาทแต่ละรายว่าบุคคลใดจะได้รับทรัพย์สินชิ้นใด

 

เรื่องที่ 4 การกำหนดบุคคลที่จะเข้ามาเป็นผู้จัดการมรดก

 

ทั้งนี้ในกฎหมายที่เกี่ยวข้องมีการกำหนดบุคคลที่เป็นทายาทในชั้นใกล้ชิดกับเจ้ามรดกหากทายาทจะเป็นกลุ่มที่ได้รับมรดกก่อนกลุ่มทายาทที่อยู่ในชั้นห่างออกไป

 

อย่างไรก็ดีบางกรณีเจ้ามรดกอาจมีประสงค์ที่จะแบ่งหรือมอบให้กับทายาทที่อยู่ในชั้นที่ห่างออกไปมากกว่าทายาทที่อยู่ในชั้นใกล้ชิดก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้ส่งผลให้การออกแบบกำหนดทำพินัยกรรมของเจ้าของทรัพย์สินมรดกเองอาจจะมีความเหมาะสมมากกว่า

 

อีกทั้งตามหลักกฎหมายหากเจ้ามรดกเสียชีวิตและไม่ได้มีการทำพินัยกรรมเอาไว้ทรัพย์สินมรดกจะถูกแบ่งให้กับทายาททุกคนในสัดส่วนที่เท่าๆ กันซึ่งด้วยหลักการเจ้าของมรดกก็มีความต้องการที่จะแบ่งทรัพย์สินให้กับทายาทในสัดส่วนที่เท่ากันเพียงแต่บางกรณีอาจต้องการเจาะจงทรัพย์สิน แต่ละประเภทให้กับทายาทแต่ละบุคคลโดยเฉพาะมากกว่าที่จะให้ทายาทนำสินมรดกไปจัดสรรกันเองเพราะอาจสร้างให้ทายาทมีความขัดแย้งกันเองได้ในอนาคต

 

นอกจากนี้ ควรมีการกำหนดชื่อบุคคลที่จะเข้ามาดำเนินการเป็นผู้จัดการมรดกให้มีความชัดเจนหลังจากเจ้าของทรัพย์สินมรดกเสียชีวิตลง

 

แนะนำสามารถทำพินัยกรรมได้ตั้งแต่อายุ 18 ปี 

 

ดร.นิติ ยังอธิบายต่อว่า ความเข้าใจที่เห็นว่าควรทำพินัยกรรมในช่วงที่อายุมากหรือเริ่มเจ็บป่วยหนักถือเป็นความเข้าใจที่มีความคลาดเคลื่อนและไม่ถูกต้อง ดังนั้นแนะนำว่าบุคคลทั่วไปสามารถเริ่มทำพินัยกรรมได้ตั้งแต่อายุ 18 ปีขึ้นไป และมีการถือทรัพย์สินที่เป็นของส่วนบุคคลหรือถือครองทรัพย์สินของครอบครัว หรืออาจมีการจดทะเบียนสมรสแล้วควรที่จะมีการพิจารณาทำพินัยกรรมไว้ขณะที่กฎหมายที่เกี่ยวข้องของไทยแนะนำให้สามารถทำพินัยกรรมได้ตั้งแต่อายุ 15 ปีขึ้นไป

 

ทั้งนี้ ผู้ที่มีความสนใจทำพินัยกรรมควรพิจารณาเริ่มจากประเด็นการพิจารณาศึกษาทำความเข้าใจในทรัพย์สินมรดกที่มีอยู่ ซึ่งมักมีความเข้าใจของผู้ที่เป็นเจ้าของทรัพย์สินหรือมรดกที่มีการครอบครอง ซึ่งส่วนใหญ่จะสามารถเซ็นยกให้ทายาทรับมรดกทรัพย์สินดังกล่าวต่อไป โดยในบางกรณีจะพบว่าทรัพย์สินดังกล่าวอาจมีบุคคลอื่นถือกรรมสิทธิ์ร่วมอยู่ด้วย เช่น คู่สมรสก็จะมีสิทธิ์ในทรัพย์สินชิ้นนั้นร่วมกับเจ้ามรดก

 

ดังนั้น หากเจ้ามรดกมีการเขียนระบุในพินัยกรรมว่าจะยกมรดกทั้งหมดให้กับทายาทอาจไม่ถูกต้อง เพราะทรัพย์สินดังกล่าวสัดส่วนครึ่งหนึ่งจะมีคู่สมรสถือกรรมสิทธิ์ร่วมอยู่ด้วย

 

อีกทั้งในธุรกิจครอบครัวหรือธุรกิจกงสี มักจะให้บุคคลอื่นมาถือครองกรรมสิทธิ์แทน โดยไม่ได้มีการซื้อขายระหว่างกันซึ่งมีกรณีศึกษาจากคำพิพากษาของศาลที่ออกมาก่อนหน้านี้ในกรณีที่มีบุคคลใดถือแทนถือทรัพย์สินในธุรกิจกงสี แทนทายาทรายอื่นๆ โดยศาลเคยมีคำพิพากษาว่าถือว่าผู้ที่ถือครองทรัพย์สินดังกล่าว ไม่ถือเป็นเจ้าของทรัพย์สินทั้งหมด หรือมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้นเพียงผู้เดียว แต่ให้ถือเป็นผู้ถือครองทรัพย์สินแทนทายาทรายอื่นๆ เท่านั้น 

 

นอกจากนี้ยังควรพิจารณาในประเด็นของภาษีมรดกว่าการจัดสรรแบ่งทรัพย์สินมรดกจะเกิดภาระภาษีกับผู้รับมรดกอย่างไร

 

ทายาทที่มีสิทธิ์รับมรดกมีใครบ้าง

 

อีกประเด็นสำคัญต่อมาคือ ที่ขวดพิจารณา เรื่องของบุคคลที่เป็นทายาทในการรับมรดกสามารถแบ่งได้ดังนี้

 

เรื่องที่ 1 มีคู่สมรสที่จดทะเบียนหรือไม่ได้จดทะเบียนหรือไม่

 

เรื่องที่ 2 มีบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายหรือบทที่ได้มีการรับรองไว้ ซึ่งไม่ได้เกิดจากการจดทะเบียน ด้วยหรือไม่

 

รวมถึงมีบุตรอุ้มบุญหรือบุตรบุญธรรมด้วยหรือไม่  อีกทั้งควรพิจารณาว่าบุคคลที่จะเข้ามาเป็นผู้จัดการมรดกในการจัดการทรัพย์สินมรดกควรเป็นบุคคลใด โดยหากมีทายาทจำนวนหลายคน แนะนำว่าควรตั้งผู้จัดการมรดกมากกว่าจำนวนหนึ่งคน และมีการเรียงลำดับชั้นความสำคัญให้ชัดเจน เพื่อรองรับในกรณีที่ผู้จัดการมรดกบางคนไม่สามารถทำหน้าที่ได้ และเป็นการป้องกันปัญหาในอนาคต

 

อีกทั้งหากเจ้าของมรดกมีทายาทที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะควรมีการแต่งตั้งผู้ปกครองทรัพย์ไว้ด้วย

 

เรื่องที่สำคัญที่สุดในการทำ ‘พินัยกรรม’

 

ดร.นิติ เน้นย้ำว่า ประเด็นที่มีความสำคัญที่สุดเกี่ยวกับพินัยกรรมคือ กระบวนการในการทำพินัยกรรม โดยมีประเด็นที่ควรพิจารณาดังนี้

 

ข้อที่ 1 พินัยกรรมเป็นของจริงหรือไม่

 

ข้อที่ 2 เจ้าของมรดกทรัพย์สินผู้ทำพินัยกรรมมีสติสัมปชัญญะครบถ้วนหรือไม่ขณะทำพินัยกรรมดังนั้นหากมีทำพินัยกรรมในช่วงที่สุขภาพยังแข็งแรงอยู่ก็จะเป็นประโยชน์ว่าผู้ทำมีสติสัมปชัญญะครบถ้วน

 

ข้อที่ 3 พิจารณาผู้จัดการมรดกอย่างรอบคอบว่าควรจะเป็นบุคคลใด ซึ่งตามหลักการจะเป็นบุคคลที่เจ้าของทรัพย์สินมรดกไว้ใจมากที่สุดซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นทายาท

 

ข้อที่ 4 การทำพินัยกรรมก็จะมีต้นฉบับอย่างน้อยจำนวนสามฉบับ เพื่อให้มีการกระจายการจัดเก็บของพินัยกรรมและสามารถตรวจสอบความถูกต้องได้รวมทั้งยังแนะนำให้มีการถ่ายบันทึกวิดีโอเป็นหลักฐานในระหว่างการเซ็นสัญญาทำพินัยกรรมด้วย

 

‘พินัยกรรม’ สามารถทำได้กี่รูปแบบ 

 

ขณะที่รูปแบบในการทำพินัยกรรมมีดังนี้

 

  1. เจ้าของทรัพย์สินมรดกมีการเขียนพินัยกรรมด้วยลายมือตัวเองเพื่อต้องการเก็บไว้เป็นความลับและมีการบันทึกข้อมูลไว้

 

  1. พินัยกรรมที่มีบุคคลอื่นช่วยเขียนหรือพิมพ์แทนเจ้าสินมรดกจะต้องมีพยานรับรองอย่างน้อยสองคน

 

อย่างไรก็ดี รูปแบบการทำพินัยกรรมที่ได้รับความนิยมมักจะอยู่ในรูปแบบที่มีบุคคลอื่นช่วยเขียนหรือพิมพ์แทนเจ้าสินมรดก เช่น มอบหมายให้ทนายความหรือนักกฎหมาย เป็นผู้จัดทำซึ่งจำเป็นจะต้องมีพยานเซ็นรับรองให้อย่างน้อยจำนวนสองคน ซึ่งแนะนำว่าควรเป็นบุคคลที่น่าเชื่อถือ เพื่อเป็นการรับรองว่าเจ้าของทรัพย์สินมรดก ยังสติสัมปชัญญะครบถ้วนในระหว่างที่เซ็นสัญญาลงนามในพินัยกรรมและเป็นเจตนารมณ์ของผู้ทำพินัยกรรมที่แท้จริง และพยานต้องไม่ใช่บุคคลที่เป็นทายาทในการรับมรดก

 

อีกรูปแบบที่นิยมใช้ในการทำพินัยกรรมคือการไปทำกับหน่วยงานราชการ หรือเจ้าหน้าที่รัฐ โดยไปจัดทำพินัยกรรมที่ว่าการอำเภอหรือสำนักงานเขต ซึ่งก็จะเป็นประโยชน์กับเจ้ามรดกเช่นกัน

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising