16 ปีหลังจากเกิดโรคซาร์ส ทำให้มีผู้ติดเชื้อ 8,000 คน และเสียชีวิต 77 ราย ตอนนี้ ‘ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่’ กำลังจุดประกายความกลัวไปทั่วโลก
ตัวเลขล่าสุด ณ เช้าวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2020 การระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019-nCoV ทำให้มีผู้เสียชีวิตทั่วโลก 426 ราย ติดเชื้อ 19,000 ราย ทำลายสถิติซาร์สเรียบร้อยแล้ว
ไม่ใช่แค่จำนวนผู้เสียชีวิตและผู้ติดเชื้อเท่านั้นที่ถูกทำลายสถิติ แต่ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกก็ถูกมองว่าจะกลายเป็นภัยคุกคามครั้งยิ่งใหญ่เช่นกัน เพราะ ‘เศรษฐกิจของจีน’ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของโรคระบาดในวันนั้นและวันนี้ไม่เหมือนกันอย่างสิ้นเชิง เมื่อเศรษฐกิจของประเทศขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกได้รับผลกระทบ ย่อมส่งผลเหมือนโดมิโนที่กระทบออกไปเรื่อยๆ
และนี่คือลักษณะของประเทศจีนในปี 2003 และประเทศจีนในวันนี้
เศรษฐกิจของจีนเป็นประเทศที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก โดย GDP (Gross Domestic Product) หรือผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศปี 2003 มีมูลค่าอยู่ที่ 1.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 49.5 ล้านล้านบาท แต่ในปี 2018 อยู่ที่ 13 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 403 ล้านล้านบาท ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมถึง 8 เท่า
จีนส่งออกสินค้าไปสู่ตลาดโลกมากกว่าเดิม โดยในปี 2003 อยู่ที่ 4.38 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 13.6 ล้านล้านบาท แต่ในปี 2018 กระโดดมาอยู่ที่ 2.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 77.5 ล้านล้านบาท
ที่สำคัญระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา ในมุมหนึ่งแม้จะถือเป็นคู่แข่งที่ไม่มีใครยอมใคร แต่อีกมุมถือเป็นคู่ค้าที่แต่ละปีทำธุรกิจด้วยกันมหาศาล
ในปี 2018 จีนถือเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ไล่มาตั้งแต่ เครื่องจักรไฟฟ้า (Electrical Machinery) 1.52 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ, เครื่องจักร (Machinery) 1.17 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ, เฟอร์นิเจอร์และเครื่องนอน 3.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ, ของเล่นและอุปกรณ์กีฬา 2.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ และพลาสติก 1.9 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
แม้ปี 2019 เศรษฐกิจของจีนจะเติบโตเพียง 6% ถือเป็นการเติบโตที่ต่ำสุดในรอบสามทศวรรษ แต่จำนวนมหาเศรษฐีของจีนกลับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดย ‘แจ็ค หม่า’ ที่เพิ่งลาออกจากตำแหน่งประธานของ Alibaba ยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซที่เขาร่วมก่อตั้ง คือบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดของจีนในปี 2019 โดยมีทรัพย์สินสุทธิ 4.2 หมื่นดอลลาร์สหรัฐ หรือ 1.3 ล้านล้านบาท
จากรายงานของ Forbes ซึ่งได้จัดอันดับมหาเศรษฐีจีนประจำปี 2019 พบว่า ความมั่งคั่งได้เพิ่มจากปีก่อนมาอยู่ที่ 1.29 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ อันเป็นผลมาจากการใช้จ่ายภายในประเทศ และการใช้จ่ายออนไลน์ที่เพิ่มขึ้น
การท่องเที่ยวเป็นหนึ่งในดัชนีที่บ่งชี้คุณภาพชีวิตของประชาชนว่ามีฐานะดีขึ้น โดยชาวจีนเดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศมากขึ้นเรื่อยๆ จากผลสำรวจของ Nielsen ในปี 2017 พบว่า นักท่องเที่ยวจีน 1 คนใช้จ่ายเฉลี่ย 762 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 23,599 บาทในการช้อปปิ้ง ในขณะที่นักท่องเที่ยวทั่วไปใช้เฉลี่ย 486 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 15,051 บาท
เพื่อป้องกันการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ Starbucks ได้ประกาศปิดร้านกว่า 2,000 สาขา จากทั้งหมด 4,123 สาขา พร้อมกับยอมรับว่า การปิดร้านจะส่งผลกระทบต่อผลประกอบการรวมปี 2020 อย่างแน่นอน โดยไตรมาส 1/2020 ยอดขายจากจีนคิดเป็นสัดส่วน 10% ของยอดขายทั่วโลก
เช่นเดียวกัน H&M ได้ออกมาประกาศปิดสาขาอย่างน้อย 45 แห่ง และระงับการเดินทางไปและกลับจากจีนของพนักงาน นอกจากนี้ยังมี IKEA ปิด 33 สาขา McDonald’s ปิดให้บริการในเมืองอู่ฮั่น, เอ้อโจว, หวงกัง, เฉียนเจียง และเซียนเถาในมณฑลหูเป่ย KFC และ Pizza Hut ปิดให้บริการในเมืองอู่ฮั่น เป็นต้น
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
อ้างอิง:
- https://www.forbes.com/sites/halahtouryalai/2020/02/01/china-then-and-now-why-coronavirus-is-a-bigger-threat-to-global-economy-than-previous-outbreaks/#5c1072af74e6
- https://www.forbes.com/sites/russellflannery/2019/11/06/chinas-richest-2019-growing-consumer-appetite-boosts-fortunes-of-nations-wealthiest/?ss=china-billionaires#6768bdf16c50
- https://thestandard.co/how-many-stores-close-in-china-during-corona-virus/