Who Killed Britpop?
เมื่อสารคดีซีรีส์ This is Pop ทาง Netflix ได้ออกฉาย สายตาของเด็กวัยรุ่นยุค 90 อย่างผมก็พุ่งเป้าไปที่เอพิโสดที่มีชื่อว่า Hail Britpop ทันที จนต้องแอบลัดคิวไปดูตอนนี้ก่อน
วงดนตรีสุดเท่จากกลางยุค 90 เรียงหน้ากันมาถ่ายทอดเรื่องราวตลอดช่วงเวลา 44 นาที ไม่ว่าจะเป็น Blur, Elastica, Echobelly, Lush รวมถึงยอดโปรดิวเซอร์อย่าง Alan McGee มันคือช่วงเวลาที่ Britpop รุ่งเรืองถึงขีดสุด ขนาดช่วงข่าวไพรม์ไทม์ถึงกับต้องเว้นที่ว่างให้ศึกฟาดฝีปากกันระหว่าง Oasis และ Blur สองวงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งยุค หรือที่เรียกกันว่า Battle of Britpop
ในขณะที่สารคดีพาเราไปข้างหน้าอย่างเร้าใจจนถึงจุดพีกอย่างอภิมหาคอนเสิร์ตของ Oasis ที่ Knebworth มันก็เหมือนกับการขึ้นไปถึงจุดสูงที่สุดของรถไฟเหาะ หลังจากนั้นทุกๆ อย่างก็ดิ่งลงอย่างรวดเร็ว เกิดอะไรขึ้นกับบรรดาหนุ่มสาวร็อกสตาร์ผู้ยิ่งใหญ่ ที่อยู่ๆ กระแสตกวูบลงอย่างรวดเร็ว
วันนี้เราจะมาพาทุกคนย้อนไปดูกันว่า ใครคือฆาตกรผู้สังหาร Britpop?
Be Here Now
อัลบั้มลำดับที่ 3 ของ Oasis มักตกเป็นจำเลยอันดับต้นๆ เสมอในบทสนทนาว่าด้วยเรื่องจุดจบของ Britpop
แต่ทำไมล่ะ?
มันเหมือนนกฝูงใหญ่ที่กำลังเดินทางไปข้างหน้า แล้วมีนกตัวนึงถูกยิงร่วงไป หากแต่ตัวที่โดนยิงมันคือตัวที่บินอยู่ข้างหน้าสุด มันคงทำให้นกที่เหลือทั้งฝูงสั่นคลอนและถึงกับไร้ทิศทางได้ง่ายๆ เลยทีเดียว
อัลบั้มนี้ต่างจากชุดแรกของวง ในครั้งที่พวกเขายังเป็นแค่จิ๊กโก๋โนเนมจากแมนเชสเตอร์ เพราะมันถูกคาดหวังสูงอย่างมาก ถูกจับตามองมากกว่าเคย Noel Gallagher เคยพูดถึงอัลบั้มนี้ว่ามันถูกเล่นใหญ่ ประดิดประดอยมากเกินไป
การมาถึงของ Spice Girls
การประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้นของ Spice Girls ไม่ใช่เพียงแค่เพลงฮิตบนชาร์ต แต่รวมถึงกระแสป๊อปบนหน้าข่าวบันเทิง ดูเหมือนผู้คนที่เริ่มเบื่อการทะเลาะกันระหว่าง 2 พี่น้อง Gallagher กับวง Blur แล้วหันมาสนใจวาทะแสบๆ ของสาว Geri Halliwell หรือข่าวรักกุ๊กกิ๊กของ Victoria และนักเตะหนุ่มอย่าง David Beckham เสียมากกว่า
นอกจากมันจะดึงความสนใจของวัยรุ่นไปจาก Britpop แล้ว มันยังไปปลุกกระแส บอยด์แบนด์/เกิร์ลกรุ๊ป ทั้ง Westlife, All Saints, 911, Boyzone, Sugarbabes ฯลฯ ให้ขึ้นมาไต่บน UK ชาร์ต และเบียดเจ้าหนุ่มชาวร็อกตกขอบไป
Tony Blair
ภาพ: Rebecca Naden / Getty Images
ชัยชนะของนักการเมืองหนุ่มจากพรรคแรงงาน ผู้ออกตัวว่าชื่นชอบร็อกแอนด์โรลและมักไปแฮงเอาต์กับร็อกสตาร์อย่าง Oasis หรือ David Bowie ไม่ว่าเป็นการสร้างภาพหรือของจริง แต่นั่นก็ทำให้เขาได้ใจจากคนรุ่นใหม่ไปไม่น้อย เมื่อเขาโค่นพรรคอนุรักษนิยมและขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีได้
มันเหมือนเป็นชัยชนะขั้นสูงสุดของชนชั้นแรงงาน ก่อนที่เขาจะตบหน้าทุกคะแนนเสียงด้วยการส่งทหารไปช่วยอเมริการ่วมรบในสงครามอิรัก ภายหลังเป็นแรงบันดาลใจให้วงอย่าง Kaiser Chiefs ตั้งชื่ออัลบั้มพวกเขาว่า Education, Education, Education & War ซึ่งเป็นการเสียดสีสุนทรพจน์ที่ Blair เคยบอกว่าเขาจะสนับสนุนการศึกษา โดยย้ำว่า Education, Education, Education
OK Computer
ในช่วงปลายยุค 90 ในขณะที่เพลงของ Spice Girls ถูกเปิดให้ได้ยินแทบทุกหัวมุมถนน ถือเป็นจุดตกต่ำของบรรดาวง Britpop เกือบจะทั้งหมด ยกเว้น Radiohead ที่อยู่มาตั้งแต่ต้นทศวรรษ 90 และประสบความสำเร็จพอควรกับเพลงอย่าง Creep หรือ High and Dry แต่ก็ยังเทียบไม่ได้กับวงอื่นๆ
จนกระทั่งอัลบั้ม OK Computer ถูกปล่อยออกมา มันคืออัลบั้มที่ได้รับคำชมที่ดีในเรื่องคุณภาพ นำพาตัวเองออกจากการเป็น Guitar Band แบบเดิมๆ เป็นอัลบั้มที่มีความเป็น Experimental, Art Rock, Progressive Rock ในระดับที่ถูกยกไปเทียบกับอัลบั้มของวงชั้นครูในยุค 70
แม้พวกเขาจะได้สร้างผลงานในระดับมาสเตอร์พีซให้กับวงตัวเองและวงการดนตรี แต่นั่นมันทำให้เป็นที่ชัดแล้วว่า Radiohead ก็ขลังเกินไปที่จะเป็น Pop Band หรือ Britpop แล้ว
Post Britpop Era
ภาพ: Ezra Shaw / Getty Images
หลังจากยุค 60-70 เป็นต้นมา Pop Culture ฝั่งอเมริกาก็บุกเข้ามาครองใจวัยรุ่นในเกาะอังกฤษ ทั้ง Micheal Jackson, Madonna, Bon Jovi มาถึง Nirvana จนกระทั่งยุครุ่งเรืองของ Britpop กลางยุค 90 มันคือการกอบกู้ความภูมิใจของวัยรุ่นอังกฤษได้อีกครั้ง
แต่ในอีกด้านหนึ่งก็ต้องยอมรับว่าขณะที่ Blur, Suede, Pulp, Oasis กำลังโด่งดังสุดขีดในเกาะอังกฤษ แต่ดูเหมือนฝั่งอเมริกันอาจไม่ได้ชื่นชมพวกเขามากเท่าที่ควรจะเป็น แต่การเกิดกระแสระลอกที่ 2 ของวงดนตรีอังกฤษในช่วง 2000 ยุคของ Travis, Snow Patrol, Stereophonics, Keane และ Coldplay นั้นต่างออกไป
หากยุคแรกวง Blur หวังเพียงแค่อยากจะสร้างดนตรีอังกฤษแท้ๆ ขึ้นมาให้วัยรุ่นในประเทศเลิกคลั่งกรันจ์จากอเมริกาเสียที วงยุคหลัง Britpop เหล่านี้พวกเขาไม่เพียงแต่กอบกู้ดนตรีร็อกของฝั่งอังกฤษกลับคืนชีพมาอีกครั้ง แต่พวกเขาพามันข้ามฝั่งไปทั้งตีตลาดอเมริกาและทั่วโลกอีกด้วย
การที่ Coldplay ขึ้นเล่นในช่วง Halftime Show ของ Super Bowl สุดยอดรอบชิงชนะเลิศของกีฬาอันดับหนึ่งของอเมริกันชน มันคือสัญลักษณ์ว่าพวกเขาเดินทางมาไกลกว่าแค่ Britpop แต่พวกเขาเป็น International Pop สำหรับแฟนๆ ทั่วโลก
ภาพ: Dave M. Benett / Getty Images
สุดท้ายผมอยากจะทิ้งท้ายด้วยอีกสัญลักษณ์แห่งการสิ้นสุด Battle of Britpop ซึ่งเห็นทีไรก็อดยิ้มไม่ได้ นั่นคือภาพการคืนดีกันระหว่าง Damon Albarn แห่ง Blur และ Noel Gallagher แห่ง Oasis ที่ผมถึงกับต้องอุทานขึ้นมาว่า อ้าว นี่แกดีกันแล้วเหรอ แล้วต่อไปนี้นักข่าวจะเขียนอะไร!