Whisper of the Heart วันนั้น วันไหน หัวใจบรรเลง คือภาพยนตร์ไลฟ์แอ็กชันที่ดัดแปลงมาจากมังงะสุดคลาสสิกอย่าง Mimi wo Sumaseba ซึ่งเคยถูกนำไปสร้างเป็นฉบับภาพยนตร์อนิเมะมาแล้วครั้งหนึ่งโดยฝีมือของ Studio Ghibli และออกฉายในปี 1995 โดยในฉบับไลฟ์แอ็กชันจะได้สองนักแสดงมากเสน่ห์อย่าง นานะ เซอิโนะ และ โทริ มัตสึซากะ มาร่วมรับบทนำ
สำหรับฉบับไลฟ์แอ็กชันจะว่าด้วยเรื่องราวในอีก 10 ปีต่อมาของ ชิซูกุ (นานะ เซอิโนะ) ในวัย 24 ปี ที่ได้ตัดสินใจละทิ้งความฝันที่อยากจะเป็นนักเขียนนิยาย และเข้าทำงานเป็นบรรณาธิการหนังสือสำหรับเด็กที่สำนักพิมพ์เล็กๆ แห่งหนึ่ง ขณะที่ เซย์จิ (โทริ มัตสึซากะ) ก็ยังคงมุ่งมั่นตั้งใจเรียนอยู่ที่ต่างประเทศ
หากมองจากตัวอย่างและพล็อตเรื่องอาจดูเหมือนว่า Whisper of the Heart ฉบับไลฟ์แอ็กชันครั้งนี้คือ ‘ภาคต่อ’ ของ Whisper of the Heart ฉบับอนิเมะที่ออกฉายในปี 1995
แต่เมื่อเราได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้จนจบ เราพบว่า Whisper of the Heart ฉบับนี้มีการปรับเปลี่ยนรายละเอียดของเนื้อหาไปจากเวอร์ชันอนิเมะอยู่หลายส่วน ยกตัวอย่างเช่น ในเวอร์ชันอนิเมะ เซย์จิมีความฝันที่อยากจะเป็นช่างทำไวโอลิน แต่ในเวอร์ชันไลฟ์แอ็กชันมีการปรับเปลี่ยนให้เขามีความฝันที่อยากจะเป็นนักดนตรีเชลโลแทน
ดังนั้นแล้ว เราจึงคิดว่าผู้กำกับและมือเขียนบทอย่าง ยูอิจิโระ ฮิราคาวะ ไม่ได้จงใจให้ Whisper of the Heart เวอร์ชันนี้เป็นภาคต่อของเวอร์ชันอนิเมะเสียทีเดียว แต่เป็นการหยิบเนื้อหาของเวอร์ชันอนิเมะมาต่อยอดเป็นเรื่องราวในฉบับของตัวเองเสียมากกว่า ซึ่งการตัดสินใจดังกล่าวก็ทำให้ตัวภาพยนตร์ที่จุดเด่นที่เราชื่นชอบและข้อสังเกตที่เราแอบติดขัดอยู่พอสมควร
เริ่มที่จุดเด่นกันก่อน ด้วยความที่ผู้กำกับตัดสินใจตีความเรื่องราวขึ้นมาใหม่ จึงเปิดโอกาสให้ผู้ชมที่ไม่เคยดูฉบับอนิเมะมาก่อนสามารถดูฉบับนี้ได้ทันทีโดยไม่ต้องกังวลว่าจะตามเรื่องราวไม่ทัน โดยภาพยนตร์จะพาผู้ชมไปติดตามเรื่องราวของชิซูกุและเซย์จิกันตั้งแต่วัยเด็ก ไม่ว่าจะเป็นวันแรกที่พวกเขารู้จักกัน รวมถึงเรื่องราวระหว่างทางที่ค่อยๆ ทำให้พวกเขาสนิทกันมากขึ้น ควบคู่ไปกับเรื่องราวในปัจจุบันที่ชิซูกุเริ่มต้นเข้าสู่วัยทำงานด้วยการเป็นบรรณาธิการหนังสือนิทานเด็ก และเซย์จิที่กำลังมุ่งมั่นกับการเป็นนักเชลโลในอิตาลี
ขณะเดียวกัน สำหรับผู้ชมที่เคยดูฉบับอนิเมะมาแล้ว ผู้กำกับก็ไม่ลืมที่จะหยิบนำฉากสุดคลาสสิกมาสอดแทรกไว้ให้ผู้ชมได้หายคิดถึง ไล่เรียงตั้งแต่การพบกันครั้งแรกของชิซูกุและเจ้าแมวจอมซนอย่าง มูน ในขบวนรถไฟ หรือจะเป็นฉากที่ชิซูกุได้มาเจอกับตุ๊กตา บารอน ในร้านขายของเก่าเป็นครั้งแรก ซึ่งส่วนตัวผู้เขียนคิดว่าผู้กำกับสามารถสร้างสรรค์ฉากเหล่านี้ออกมาได้อย่างมีเสน่ห์ไม่แพ้เวอร์ชันอนิเมะเลยทีเดียว
อีกหนึ่งจุดเด่นที่เราชื่นชอบมากๆ คือเรื่องราว 10 ปีต่อมาของชิซูกุและเซย์จิ ที่ผู้กำกับสามารถต่อยอดเรื่องราวจากฉบับอนิเมะออกมาได้อย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะปมปัญหาของชิซูกุที่ยังคงเดินหน้าทำตามความฝันในการเป็นนักเขียนนิยาย แต่ดูเหมือนว่าความเป็นจริงจะไม่ได้เรียบง่ายเหมือนที่เธอคิดไว้ ควบคู่ไปกับการที่เธอต้องเผชิญหน้ากับแรงกดดันในการทำงานไปพร้อมกัน
รวมถึงเรื่องราวของเซย์จิที่เดินทางไปอิตาลีเพื่อฝึกฝนการเล่นเชลโล แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความรู้สึกในการเล่นเชลโลของเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป ซึ่งปมปัญหาอันโดดเด่นเหล่านี้ถือเป็นจุดเด่นสำคัญที่ชวนให้เราอยากติดตามต่อว่าเรื่องราวของทั้งคู่จะเป็นอย่างไรต่อไป
อย่างไรก็ตาม ข้อสังเกตอย่างหนึ่งที่เราแอบเสียดายมากๆ คือกลวิธีนำเสนอของผู้กำกับที่แบ่งการเล่าเรื่องระหว่างพาร์ตอดีตกับพาร์ตปัจจุบันออกมายังไม่กลมกล่อมเท่าไรนัก โดยเฉพาะในพาร์ตอดีตที่ผู้กำกับตัดสินใจตัดท่อนและรวบรัดรายละเอียดต่างๆ ให้มีความกระชับมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ในฉบับอนิเมะ คุณปู่ ถือเป็นตัวละครสำคัญที่ช่วยผลักดันให้ชิซูกุเริ่มต้นเขียนนิยายของตัวเอง แต่ในฉบับไลฟ์แอ็กชัน ผู้กำกับเลือกที่จะลดทอนบทบาทของคุณปู่ลงอย่างเห็นได้ชัด มันจึงส่งผลให้มนตร์เสน่ห์บางอย่างที่เราเคยได้รับจากฉบับอนิเมะขาดหายไปพอสมควร
อีกหนึ่งข้อสังเกตของเรื่องที่เราแอบเสียดาย คือบทสรุปของเรื่องที่ดูเรียบง่ายเกินไปสักหน่อย โดยเฉพาะบทสรุปของฝั่งของเซย์จิที่ดูจะไม่สมเหตุสมผลเท่าไรนัก มันจึงส่งผลให้ปมปัญหาหลายๆ อย่างที่ถูกปูมาได้สนใจตั้งแต่แรก กลับถูกคลี่คลายลงอย่างเรียบง่ายและไม่ทำให้เราประทับใจได้เท่าฉบับอนิเมะ
ในภาพรวมแล้วส่วนตัวผู้เขียนคิดว่า Whisper of the Heart ค่อนข้างจะมีจุดเด่นในแง่ของการต่อยอดประเด็นของชิซูกุและเซย์จิจากฉบับอนิเมะออกมาได้น่าสนใจมากๆ รวมถึงการสร้างสรรค์ฉากสุดคลาสสิกในฉบับอนิเมะให้กลายเป็นฉบับไลฟ์แอ็กชันก็สามารถทำออกมาได้อย่างมีเสน่ห์ไม่แพ้ฉบับอนิเมะ แต่ขณะเดียวกันภาพยนตร์ก็มีข้อสังเกตในแง่ของกลวิธีนำเสนอที่ส่วนตัวผู้เขียนแอบเสียดายอยู่เล็กๆ ที่ผู้กำกับตัดทอนรายละเอียดที่น่าสนใจหลายๆ อย่างไป รวมถึงบทสรุปของเรื่องที่ดูเรียบง่ายไปสักหน่อยจนทำให้เราไม่มีความรู้สึกร่วมไปกับตัวละครอย่างที่ควรจะเป็น
Whisper of the Heart ฉบับภาพยนตร์ไลฟ์แอ็กชัน เข้าฉายอย่างเป็นทางการแล้ววันนี้ ในโรงภาพยนตร์
รับชมตัวอย่างได้ที่