เช้าวันที่ 8 พฤศจิกายน ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐฯ จะมีการเปิดคูหาเลือกตั้งกลางเทอม ปี 2022 ทั่วประเทศ โดยผลการเลือกตั้งในครั้งนี้มีความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากจะชี้ชะตาว่า ระหว่างพรรคเดโมแครตหรือพรรครีพับลิกัน ใครจะครองเสียงข้างมากในสภาคองเกรสสหรัฐฯ ในช่วง 2 ปีที่เหลือของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของโจ ไบเดน ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการขับเคลื่อนนโยบาย และการอนุมัติงบประมาณสำคัญๆ ของสหรัฐฯ ต่อจากนี้
เงื่อนไขของการครองเสียงข้างมาก
ในปีนี้ สภาผู้แทนราษฎร หรือสภาล่างของสหรัฐฯ เปิดให้ชิงชัยทั้งหมด 435 ที่นั่ง ซึ่งพรรคการเมืองที่คว้าที่นั่งอย่างน้อย 218 ที่นั่ง จะได้ครองเสียงข้างมากในสภาล่าง โดยพรรคเดโมแครตครองเสียงข้างมากอยู่ในขณะนี้
ส่วน วุฒิสภา หรือสภาสูง เปิดโอกาสให้พลเมืองสหรัฐฯ เลือกตั้งใหม่จำนวน 35 ที่นั่งจากทั้งหมด 100 ที่นั่ง หรือคิดเป็นราว 1 ใน 3 ที่หมดวาระลงในปีนี้ โดยพรรคการเมืองใดที่คว้าที่นั่งอย่างน้อย 51 ที่นั่งจะได้ครองเสียงข้างมากในสภาสูง ซึ่งปัจจุบันพรรคเดโมแครตก็ครองเสียงข้างมากในสภานี้เช่นเดียวกัน แม้ 2 พรรคการเมืองใหญ่จะมี 50 ที่นั่งในสภาเท่ากัน แต่พรรคเดโมแครตยังมีอีก 1 คะแนนเสียงสนับสนุนจากรองประธานาธิบดีคามาลา (กมลา) แฮร์ริส ในฐานะประธานวุฒิสภาสหรัฐฯ
โดยพรรครีพับลิกันต้องการ 5 ที่นั่งเพิ่มเติมในสภาล่าง เพื่อพลิกเกมและกลับมาครองเสียงข้างมากในสภานี้ให้ได้ ขณะที่ในสภาสูง พรรครีพับลิกันต้องการเพียงอย่างน้อยอีก 1 ที่นั่งเพิ่มเติม ก็จะครองเสียงข้างมากในสภาสูง ซึ่งโพลหลายสำนักคาดการณ์ว่า พรรครีพับลิกันมีโอกาสสูงที่จะกลับมาครองเสียงข้างมากทั้งในสภาสูงและสภาล่างของสหรัฐฯ
รู้จัก ภาพลวงตาสีน้ำเงิน และภาพลวงตาสีแดง
หนึ่งในปัจจัยที่จะเป็นตัวชี้วัดว่า ผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการจะแล้วเสร็จเมื่อไรคือ ความเร็วหรือระยะเวลาที่แต่ละรัฐใช้ในการนับคะแนนเสียงในช่องทางไปรษณีย์
โดยทั่วไปแล้ว พลเมืองอเมริกันที่สนับสนุนพรรคเดโมแครตมักจะมีแนวโน้มไปลงคะแนนเสียงผ่านช่องทางไปรษณีย์ ซึ่งสวนทางกับพลเมืองอเมริกันที่สนับสนุนพรรครีพับลิกันที่มีแนวโน้มจะลงคะแนนเสียงในคูหาเลือกตั้งมากกว่า
ดังนั้นในรัฐที่มีจำนวนผู้ลงคะแนนเสียงทางไปรษณีย์มาก และมีการนับคะแนนบัตรเลือกตั้งในส่วนนี้ก่อน ก็อาจจะทำให้เกิดภาวะ ‘ภาพลวงตาสีน้ำเงิน’ (Blue Mirage) ที่ดูเหมือนว่าในช่วงแรกๆ ของการนับคะแนนเสียงนั้น คะแนนส่วนใหญ่จะเทไปทางพรรคสีน้ำเงิน หรือพรรคเดโมแครตมากกว่า
ตัวอย่างเช่น ในรัฐฟลอริดาและรัฐนอร์ทแคโรไลนานั้น คณะกรรมการเลือกตั้งประจำรัฐได้รับอนุญาตให้นำบัตรคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้าออกจากซองไปรษณีย์ก่อนวันเปิดคูหาเลือกตั้ง และนำบัตรคะแนนเหล่านั้นใส่เครื่องนับคะแนน เพื่อย่นระยะเวลาในการนับคะแนนลงไปอีก
ในขณะที่บางรัฐ ตัวอย่างเช่น เพนซิลเวเนีย และวิสคอนซิน ทางการจะไม่ได้รับอนุญาตให้เปิดซองไปรษณีย์เพื่อนำบัตรคะแนนออกมาก่อนที่จะถึงวันเลือกตั้ง ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงมากว่า จะมีการนับคะแนนบัตรเลือกตั้งในหีบเลือกตั้งก่อน และอาจทำให้เกิดภาวะ ‘ภาพลวงตาสีแดง’ (Red Mirage) จนดูเหมือนว่าพรรคสีแดง หรือพรรครีพับลิกันมีคะแนนนำอยู่อย่างมากในรัฐนั้นๆ ส่วนบัตรเลือกตั้งผ่านช่องทางไปรษณีย์จะทยอยนับคะแนนหลังจากนั้น
เราจะทราบผลการเลือกตั้งเมื่อไร
ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า การนับคะแนนการเลือกตั้งในบางรัฐจะแล้วเสร็จภายในคืนวันเลือกตั้ง ในขณะที่รัฐที่เป็นคีย์สำคัญ อาทิ เพนซิลเวเนีย ก็อาจจะต้องใช้ระยะเวลานานหลายวันในการนับคะแนนเสียงเลือกตั้งอย่างละเอียดถี่ถ้วน
คาดว่าการนับคะแนนจะเริ่มต้นขึ้นทางฝั่งตะวันออก (อีสต์โคสต์) ก่อนในเวลาประมาณ 19.00-20.00 น. ET วันที่ 8 พฤศจิกายนตามเวลาท้องถิ่น (07.00-08.00 น. ของวันพุธที่ 9 พฤศจิกายนตามเวลาประเทศไทย) ซึ่งคาดว่าหลายรัฐที่เป็นเขตพื้นที่ของรีพับลิกันจะเริ่มทยอยประกาศชัยชนะกันภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังจากปิดคูหาเลือกตั้ง
ขณะที่ราว 22.00-23.00 น. ET ตามเวลาท้องถิ่น (10.00-11.00 น. ตามเวลาไทย) บรรดาคูหาเลือกตั้งในแถบมิดเวสต์จะทยอยปิดลง ตามมาด้วยรัฐในแถบตะวันตก (เวสต์โคสต์) ซึ่งมีอัตราการแข่งขันที่สูงมากระหว่าง 2 พรรคการเมืองใหญ่ หากการแข่งขันเป็นไปอย่างสูสีคู่คี่ ก็มีความเป็นไปได้ที่การนับคะแนนจะยืดเยื้อนานหลายวัน ก่อนที่เราจะทราบผลการเลือกตั้งกลางเทอมในปีนี้ว่า พรรคการเมืองใดครองเสียงข้างมากในสภาสูงและสภาล่างของสหรัฐฯ
โดยทั่วไปแล้ว แคลิฟอร์เนียเป็นหนึ่งในรัฐที่ใช้ระยะเวลาในการนับคะแนนนานหลายสัปดาห์ เนื่องจากทางการท้องถิ่นอนุญาตให้มีการนับรวมคะแนนเลือกตั้งจากช่องทางไปรษณีย์ที่ประทับตราวันที่ 8 พฤศจิกายนเข้าไปด้วย แม้ซองไปรษณีย์นั้นจะมาถึงมือคณะกรรมการการเลือกตั้งหลังจากวันที่ปิดหีบเลือกตั้งไปแล้วก็ตาม ขณะที่รัฐเนวาดาและรัฐวอชิงตันก็มีแนวทางในลักษณะเดียวกันนี้ จึงยิ่งอาจทำให้การนับคะแนนและประกาศผลการเลือกตั้งช้าออกไปอีก โดยเฉพาะในรัฐที่มีการแข่งขันกันสูงมาก ก็จะต้องนับคะแนนและตรวจสอบผลคะแนนอย่างละเอียดรอบคอบมากยิ่งขึ้น เพื่อป้องกันการครหาและการทุจริตเลือกตั้ง
นอกจากนี้ ในสนามการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาในบางรัฐ อาทิ รัฐจอร์เจีย หากไม่มีผู้สมัครรายใดได้รับคะแนนเสียงเกิน 50% ของคะแนนโหวตทั้งหมด จะต้องจัดการเลือกตั้งซ่อมรอบที่ 2 ขึ้นในวันที่ 6 ธันวาคมนี้ ซึ่งระหว่างนั้นอาจจะทำให้สภาสูงเกิดความไม่แน่นอนขึ้น เนื่องจากยังไม่ทราบแน่ชัดว่าพรรคการเมืองใดจะได้ครองเสียงข้างมากในสภาสูง
ท้ายที่สุด พรรคการเมืองใดจะคว้าชัยชนะ อีกไม่นานเกินรอเราจะได้ทราบกัน
แฟ้มภาพ: Westock Productions / Shutterstock
อ้างอิง: