การประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ระหว่างวันที่ 16-17 มีนาคมนี้ ตลาดการเงินกำลังจับตาดูว่าในการประชุมดังกล่าว Fed จะมีความเห็นอย่างไรกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยีลด์) ระยะยาวที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยล่าสุดบอนด์ยีลด์รุ่นอายุ 10 ปีของสหรัฐฯ ขยับขึ้นมาอยู่ในระดับ 1.6%
ประเด็นนี้นักวิเคราะห์ต่างคาดการณ์กันว่าอาจเห็น Fed งัดมาตรการ Operation Twist ออกมาใช้อีกครั้ง ซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกโดยรวม
แล้ว Operation Twist คืออะไร เกี่ยวข้องอย่างไรกับตลาดหุ้น ทีมข่าว THE STANDARD WEALTH จะอธิบายให้ฟัง
Operation Twist คือมาตรการลดการถือครองตราสารหนี้ระยะสั้น แล้วเปลี่ยนมาเพิ่มการถือครองตราสารหนี้ระยะยาว หรือพูดแบบง่ายๆ ก็คือการขายบอนด์ระยะสั้นแล้วมาซื้อบอนด์ระยะยาวแทน
Operation Twist ถือเป็นเครื่องมือทางการเงินในลักษณะ Unconventional หรือเป็นมาตรการที่ไม่เคยมีอยู่ในตำรามาก่อน ซึ่งมาตรการนี้ Fed นำมาใช้ครั้งแรกในช่วงปี 1960 และหยิบขึ้นมาใช้อีกครั้งในปี 2011 ซึ่งเป็นช่วงที่ Fed กำลังลดขนาดการทำมาตรการ QE
สาเหตุที่ Fed นำมาตรการนี้มาใช้ในช่วงปี 2011 เพราะช่วงเวลานั้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรุ่นอายุสั้นกับรุ่นอายุยาวมีความแตกต่างกันมาก โดยตัวสั้นให้ผลตอบแทนที่ต่ำ เนื่องด้วยนักลงทุนคาดการณ์กันว่า Fed อาจจะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในเร็ววัน จึงพากันเทขายพันธบัตรระยะยาวแล้วเปลี่ยนมาถือพันธบัตรระยะสั้นแทน
สถานการณ์ในช่วงเวลานั้นคล้ายกับสถานการณ์ปัจจุบันค่อนข้างมาก และสิ่งที่ Fed ตัดสินใจทำในช่วงเวลานั้นคือการขายพันธบัตรระยะสั้นที่นักลงทุนส่วนใหญ่เข้าซื้อ แล้วหันมาซื้อพันธบัตรระยะยาวที่นักลงทุนส่วนใหญ่ขายออกมา เพื่อลดความชันของอัตราผลตอบแทนระหว่างตัวสั้นและตัวยาวไม่ให้มีความแตกต่างมากเกินไป ซึ่ง Fed เรียกมาตรการนี้ว่า Operation Twist นั่นเอง
ข้อดีของมาตรการนี้คือจะช่วยกดบอนด์ยีลด์รุ่นระยะยาวไม่ให้สูงจนเกินไป ช่วยให้บริษัทต่างๆ ที่ต้องการระดมทุนผ่านการออกตราสารหนี้มีต้นทุนที่ต่ำลง จึงส่งผลดีต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นโดยภาพรวมด้วย
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
