ตลาดหุ้นเกาหลีใต้กำลังเผชิญกับพายุลูกใหญ่ เมื่อราคาหุ้นของค่ายเพลงยักษ์ใหญ่อย่าง YG Entertainment และ JYP Entertainment ร่วงลงกว่า 25% และ 45% ตามลำดับนับตั้งแต่ต้นปี นักวิเคราะห์มองว่านี่อาจเป็นสัญญาณของการสิ้นสุดยุคทองของ K-Pop และการเริ่มต้นของภาวะฟองสบู่แตก ซึ่งทำให้การฟื้นตัวในเร็วๆ นี้เป็นไปได้ยาก
ไม่เพียงแค่ YG และ JYP เท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ ค่ายเพลงอื่นๆ ก็เผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่ต่างกัน หุ้น HYBE ที่เคยพุ่งสูงถึง 300,000 วอนในเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว ปัจจุบันซื้อขายกันที่ประมาณ 190,000 วอน ในขณะที่ราคาหุ้นของ SM Entertainment ก็ลดลงเกือบครึ่งหนึ่งจากจุดสูงสุดที่ 147,000 วอน เหลือเพียงประมาณ 76,000 วอนในช่วงปีที่ผ่านมา
สถานการณ์ของ JYP และ YG น่าเป็นห่วงเป็นพิเศษ โดยหุ้น JYP Entertainment ร่วงลงมากกว่า 60% จากจุดสูงสุดในรอบ 52 สัปดาห์ที่ 146,600 วอน ส่วนหุ้น YG Entertainment ก็สูญเสียมูลค่าไปกว่า 50% จากจุดสูงสุดในรอบ 52 สัปดาห์ที่ 83,800 วอน
การลดลงนี้เชื่อมโยงกับผลประกอบการที่น่าผิดหวังในไตรมาสแรก และความคาดหวังที่ต่ำสำหรับช่วงครึ่งหลังของปี โดย Hana Financial Investment คาดการณ์ว่า กำไรจากการดำเนินงานในไตรมาส 2 ของ HYBE จะลดลง 22% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า SM จะลดลง 7% และ JYP จะลดลงถึง 56% ส่วน YG คาดว่าจะขาดทุน 6.6 พันล้านวอนในช่วงเวลาดังกล่าว
สำหรับ JYP Entertainment ยังคงได้รับประโยชน์จากความนิยมของวงดังอย่าง Stray Kids และ TWICE แต่การเติบโตของศิลปินใหม่กลับเป็นไปอย่างเชื่องช้า อัลบั้มที่ปล่อยออกมาในช่วงต้นปีของเกิร์ลกรุ๊ป ITZY มียอดขายเพียง 320,000 ชุดในสัปดาห์แรก เทียบกับ 820,000 ชุดของอัลบั้มก่อนหน้า
ในขณะที่อัลบั้มของ NMIXX มียอดขาย 620,000 ชุด ลดลงจาก 1.03 ล้านชุดในการเปิดตัวครั้งก่อน ส่วนบอยแบนด์น้องใหม่ Xdinary Heroes ที่มุ่งเป้าไปที่ตลาดญี่ปุ่น แต่เดบิวต์ในเกาหลีก่อน มียอดขายเพียง 110,000 ชุดในสัปดาห์แรก
ด้าน YG Entertainment แม้ว่าเกิร์ลกรุ๊ปน้องใหม่อย่าง BABYMONSTER จะมียอดขายอัลบั้มเปิดตัวถึง 400,000 ชุด และสามารถขยายฐานแฟนคลับได้ แต่ก็ยังมีความเห็นที่แตกต่างกันว่า พวกเธอจะประสบความสำเร็จเทียบเท่า BLACKPINK ได้หรือไม่ นอกจากนี้ YG ยังไม่มีข่าวคราวเกี่ยวกับบอยแบนด์ใหม่นับตั้งแต่ TREASURE เมื่อ 4 ปีก่อน
Kim Hye Young นักวิจัยจาก Daol Investment & Securities วิเคราะห์ว่า ในไตรมาส 2 ของปีนี้ YG จะมีรายได้รวมลดลง 35.8% เหลือ 1.02 แสนล้านวอน และกำไรจากการดำเนินงานลดลง 98.9% เหลือเพียง 300 ล้านวอน เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ก่อนหน้านี้ YG และ BLACKPINK ต่อสัญญาสำหรับกิจกรรมของวง แต่สมาชิกทุกคนไม่ได้ต่อสัญญาสำหรับกิจกรรมเดี่ยว นักวิเคราะห์มองว่าความไม่ชัดเจนในแผนการทำกิจกรรมของ BLACKPINK เป็นสาเหตุที่ทำให้ราคาหุ้นและผลประกอบการลดลงพร้อมกัน
ขณะที่ Kim Hyun Yong นักวิจัยจาก Hyundai Motor Securities ก็ประเมิน YG ว่า “กำลังอดทนฝ่าฟันช่วงยากลำบากอยู่ กุญแจสำคัญในการฟื้นตัวของผลประกอบการปีหน้าคือการกลับมาทำกิจกรรมพร้อมหน้ากันของ BLACKPINK และในระยะยาว BABYMONSTER ต้องเติบโตตามรอย BLACKPINK ให้ได้”
นักวิเคราะห์บางคนเชื่อว่าตลาด K-Pop ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว โดยปัญหาต่างๆ เช่น การต่อสู้แย่งชิงหุ้น SM ระหว่าง Kakao และ HYBE ปัญหาส่วนตัวของศิลปิน และความขัดแย้งภายใน HYBE ล้วนส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของอุตสาหกรรม K-Pop
นอกจากนี้ การที่ K-Pop ยังคงเน้นธุรกิจที่อิงกับแฟนคลับ ทำให้ศักยภาพในการเติบโตอย่างยั่งยืนมีจำกัด ดังนั้นสถานการณ์ในปัจจุบันจึงเป็นช่วงเวลาที่ท้าทายสำหรับอุตสาหกรรม K-Pop และการลงทุนในหุ้น K-pop กำลังเผชิญกับความเสี่ยงสูง นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ อย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน
ภาพ: Victoria Jones – Pool / Getty Images
อ้างอิง: