ตลาดกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) กำลังคึกคักอีกครั้ง หลังจากที่ภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นผ่านพ้นไป ล่าสุดทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล (WHAIR) เตรียมเปิดจองซื้อหน่วยทรัสต์เพิ่มเติมสำหรับการเพิ่มทุนครั้งที่ 4
สำหรับผู้ถือหน่วยทรัสต์เดิมสามารถจองซื้อได้ระหว่างวันที่ 18-22 พฤศจิกายน 2567 และประชาชนทั่วไปสามารถจองซื้อได้ระหว่างวันที่ 26-28 พฤศจิกายน 2567 เพื่อระดมทุนสำหรับการลงทุนในทรัพย์สินเพิ่มเติมมูลค่าประมาณ 1,064.75 ล้านบาท พร้อมเสนออัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลในปี 2568 ที่น่าดึงดูดใจที่ 8.33%
WHAIR: กองรีทกลุ่มอุตสาหกรรมฟอร์มเด่น เติบโตไปพร้อมกับธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมของ WHA Group
WHAIR เป็นกองทรัสต์ที่ลงทุนในสิทธิการเช่าที่ดิน อาคารโรงงาน รวมถึงคลังสินค้าสำเร็จรูป ในนิคมอุตสาหกรรมและเขตประกอบอุตสาหกรรมของ WHA Group ซึ่งเป็นผู้นำธุรกิจด้านโลจิสติกส์, นิคมอุตสาหกรรม, ระบบสาธารณูปโภคและพลังงาน รวมถึงการบริการดิจิทัลอย่างครบวงจรของประเทศไทย
ปัจจุบัน WHAIR มีพื้นที่ให้เช่ารวม 428,818 ตารางเมตร มูลค่าทรัพย์สินรวมกว่า 13,122 ล้านบาท โดยมีอัตราการเช่าพื้นที่สูงถึง 93.5% (ข้อมูล ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2567)
จุดเด่นสำคัญของ WHAIR คือการเติบโตอย่างยั่งยืนไปพร้อมกับ WHA Group ซึ่งมียอดขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมพุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2566 และคาดว่าจะยังคงเติบโตต่อเนื่องในปี 2567 จากกระแสการย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทย โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่กำลังบูมสุดขีด
นอกจากนี้ ทำเลที่ตั้งของทรัพย์สินที่ WHAIR ลงทุนกว่า 90% อยู่ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญที่รัฐบาลให้การสนับสนุนด้านการลงทุนอย่างเต็มที่ทั้งในแง่โครงสร้างพื้นฐานและสิทธิประโยชน์ทางภาษี ส่งผลให้มีความต้องการเช่าพื้นที่โรงงานและคลังสินค้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ผลงานโดดเด่น รายได้เติบโตต่อเนื่อง พร้อมปันผลสูง
ด้วยศักยภาพของทรัพย์สินและการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ WHAIR มีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง โดยรายได้รวมในช่วงปี 2564-2566 มีอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) สูงถึงประมาณ 7% ต่อปี สะท้อนถึงความสามารถในการสร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง
สำหรับการเพิ่มทุนครั้งนี้ WHAIR มีแผนที่จะลงทุนเพิ่มเติมในสิทธิการเช่าที่ดิน อาคารโรงงาน รวมถึงคลังสินค้าสำเร็จรูป ระยะเวลา 30+30 ปี ในนิคมอุตสาหกรรมของ WHA Group โดยมีพื้นที่เช่ารวม 40,172 ตารางเมตร มูลค่าการลงทุนประมาณ 1,064.75 ล้านบาท ซึ่งทรัพย์สินที่จะลงทุนเพิ่มเติมนี้มีอัตราการเช่าเต็ม 100%
ที่น่าสนใจคือ WHAIR เสนออัตราผลตอบแทนเงินปันผลที่โดดเด่นในกลุ่ม Industrial REIT โดยประมาณการอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลปี 2568 อยู่ที่ 8.33% ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่น่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนที่มองหารายได้จากเงินปันผลสม่ำเสมอ
จังหวะทองของการลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และ REIT
การเพิ่มทุนของ WHAIR ในครั้งนี้เกิดขึ้นในจังหวะที่ตลาดกำลังส่งสัญญาณบวกชัดเจน โดยเฉพาะแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (Fed) ที่เริ่มต้นในปี 2567 และคาดว่าจะดำเนินต่อเนื่องไปจนถึงปี 2568 ซึ่งจะส่งผลดีต่อการฟื้นตัวของดัชนีราคาของกลุ่ม Property Fund & REIT
นอกจากนี้ ปัจจัยพื้นฐานของอุตสาหกรรมในประเทศไทยยังคงแข็งแกร่ง โดยเฉพาะในพื้นที่ EEC ที่ยังคงดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อความต้องการพื้นที่เช่าโรงงานและคลังสินค้าในระยะยาว
ถือเป็นโอกาสดีสำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระจายการลงทุนไปยังทรัพย์สินที่มีศักยภาพการเติบโตสูงและให้ผลตอบแทนที่โดดเด่น สำหรับนักลงทุนที่สนใจ WHAIR จะเปิดให้จองซื้อหน่วยทรัสต์เพิ่มเติมสำหรับการเพิ่มทุนครั้งที่ 4 ในเดือนพฤศจิกายนนี้
ผู้ถือหน่วยทรัสต์เดิมของ WHAIR ที่มีรายชื่อปรากฏในสมุดทะเบียนผู้ถือหน่วยทรัสต์ ณ วันที่ 5 พฤศจิกายน 2567 (XR วันที่ 4 พฤศจิกายน 2567) สามารถจองซื้อได้ในวันที่ 18-22 พฤศจิกายน 2567 โดยจองซื้อที่ราคาเสนอขายหน่วยทรัสต์เพิ่มเติมสูงสุดที่ 6.60 บาท และกรณีที่ราคาเสนอขายสุดท้ายต่ำกว่าราคาเสนอขายสูงสุด ผู้จองซื้อจะได้รับเงินส่วนต่างคืน และสำหรับประชาชนทั่วไปสามารถจองซื้อได้ในวันที่ 26-28 พฤศจิกายน 2567 โดยจองซื้อที่ราคาเสนอขายสุดท้าย และสามารถจองซื้อผ่านผู้จัดการการจัดจำหน่ายหน่วยทรัสต์ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ผ่านทุกสาขาทั่วประเทศ, เว็บไซต์ www.kasikornbank.com/kmyinvest หรือ โทร. 0 2888 8888 กด 869
ด้วยจุดแข็งทั้งในแง่คุณภาพทรัพย์สิน ทำเลที่ตั้งเชิงยุทธศาสตร์ และการสนับสนุนจาก WHA Group กองรีท WHAIR จึงเป็นทางเลือกการลงทุนที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่มองหาโอกาสรับผลตอบแทนที่มั่นคงและโอกาสการเติบโตในระยะยาว พร้อมไปกับการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศไทย