สถานการณ์การค้าระหว่างประเทศยังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน โดยเฉพาะนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ภายใต้การนำของ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่แม้จะมีการผ่อนผันเป็นระยะ แต่ก็ยังสร้างแรงกดดันต่อธุรกิจทั่วโลก โดยเฉพาะกลุ่มที่พึ่งพาการส่งออก ซึ่งต่างต้องจับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และเตรียมพร้อมวางแผนรับมือผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ท่ามกลางความท้าทายนี้ บทวิเคราะห์ล่าสุดจาก บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ให้มุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับ บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA ซึ่งเป็นผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมรายใหญ่
โดยจากการสำรวจความคิดเห็นของลูกค้าในนิคมฯ เกี่ยวกับผลกระทบจากนโยบายภาษี พบว่ามีปฏิกิริยาที่หลากหลาย ลูกค้าประมาณ 45% เลือกที่จะ ‘รอดูสถานการณ์’ เพื่อรอความชัดเจน ขณะที่อีก 40% ยังคงดำเนินธุรกิจตามปกติเนื่องจากไม่ได้ส่งออกไปสหรัฐฯ โดยตรง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- เจาะเบื้องหลัง ทำไมสหรัฐฯ ล้มโต๊ะเจรจาไทย ศึกภาษีทรัมป์จะไปจบที่ตรงไหน?: https://thestandard.co/wealth-in-depth-us-thai-tariff-talks/
- IMF หั่นประมาณการ GDP โลกเหลือโต 2.8% เหตุภาษีทรัมป์ฉุดเศรษฐกิจแทบทุกประเทศ ส่วนไทยเหลือโตแค่ 1.8%: https://thestandard.co/imf-cuts-global-thai-gdp-forecast/
สหรัฐฯ ขึ้นภาษีโซลาร์เซลล์ 4 ชาติอาเซียน สูงสุด 3,521% หวังอุ้มผู้ผลิตในประเทศ: https://thestandard.co/solar-cell-tariffs-asean-countries/
อย่างไรก็ดี ลูกค้าส่วนใหญ่ถึง 70% ระบุว่ายังสามารถรับมือได้หากอัตราภาษีไม่เกิน 10% และเกือบทั้งหมด (95%) เรียกร้องให้รัฐบาลไทยเข้ามาช่วยเจรจาเพื่อลดผลกระทบ
ถึงแม้จะมีความกังวลเรื่องภาษี แต่ภาพรวมการลงทุนจากจีนยังคงแข็งแกร่ง จากการสำรวจลูกค้าใหม่ชาวจีนพบว่า พวกเขายังคงมั่นใจและยืนยันแผนการลงทุนในไทย เพราะมองว่าสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนน่าจะยืดเยื้อ และไทยกับเวียดนามอาจได้รับผลกระทบน้อยกว่าจีน
กระนั้น WHA ยอมรับว่าเริ่มเห็นสัญญาณการชะลอตัวจากลูกค้าในเวียดนามที่ต้องการรอดูสถานการณ์ ซึ่งหากสถานการณ์ไม่ดีขึ้น อาจกระทบเป้ายอดขายที่ดินในเวียดนามปีนี้ (ซึ่งตั้งเป้าไว้ 650 ไร่ คิดเป็นประมาณ 27% ของยอดขายรวม) และอาจส่งผลต่อเนื่องไปยังยอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) ที่จะรับรู้ในปีถัดไป จึงยังคงต้องติดตามสถานการณ์และการปรับแผนของบริษัทอย่างใกล้ชิด
แม้จะมีความท้าทายจากปัจจัยภายนอก ธุรกิจหลักของ WHA ในประเทศไทยยังคงเติบโตได้ดี โดยบทวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ยอดขายที่ดินในปี 2568 จะอยู่ที่ประมาณ 860 ไร่ เพิ่มขึ้นอย่างน่าพอใจถึง 36.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 13.3% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า
ปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญคือการเข้ามาลงทุนของลูกค้ารายใหญ่ในกลุ่มธุรกิจ Data Center ซึ่งเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ที่เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ และเข้ามาเสริมความต้องการที่ดินในไทยที่ยังคงแข็งแกร่งจากลูกค้ากลุ่มเดิม โดยเฉพาะกลุ่มทุนจีนในอุตสาหกรรมยานยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้า
การเติบโตของยอดขายนี้สอดคล้องกับประมาณการยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินซึ่งคาดว่าจะสูงถึง 850 ไร่ เพิ่มขึ้นถึง 46.3% จากปีก่อน และ 89.2% จากไตรมาสก่อน โดยส่วนใหญ่เป็นการโอนให้กับลูกค้ากลุ่ม Data Center ที่มีราคาขายเฉลี่ยสูงกว่า 5 ล้านบาทต่อไร่ ซึ่งสูงกว่าราคาขายเฉลี่ยโดยรวมปี 67 ที่ 4.15 ล้านบาทต่อไร่
ปัจจัยนี้ส่งผลดีต่อตัวเลขผลประกอบการโดยตรง คาดว่า WHA จะมีรายได้รวม 5.1 พันล้านบาท เติบโต 54.8% จากปีก่อน และมีกำไรสุทธิถึง 1,969 ล้านบาท เติบโต 44.2% จากปีก่อน ขณะที่ยังคงรักษาอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ที่แข็งแกร่งในระดับ 56.1% ได้
แม้จะมียอดขายและยอดโอนที่เติบโตสูง แต่ WHA ยังสามารถรักษาระดับยอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) ไว้ที่ประมาณ 1.5 พันไร่ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีต่อความมั่นคงของรายได้ในอนาคต นอกจากนี้ บริษัทยังมีโอกาสจากการเจรจากับลูกค้ารายใหญ่ในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าที่สนใจซื้อที่ดินอีกราว 500 ไร่ คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในการเซ็นสัญญาในช่วงไตรมาส 2 หรือ 3 ของปี 2568
ประกอบกับแผนการขายสินทรัพย์เข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) มูลค่าราว 1,500 ล้านบาท ที่อาจเกิดขึ้นได้เร็วขึ้นในไตรมาส 2 ปี 2568 นี้ ซึ่งจะส่งผลดีต่อกำไรในครึ่งปีแรก ด้วยปัจจัยบวกเหล่านี้ บทวิเคราะห์จึงยังคงประมาณการกำไรทั้งปี 2568 ของ WHA ไว้ที่ 5,373 ล้านบาท เติบโต 23.3% จากปีก่อน