‘ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป’ เปิดแผนพัฒนาและสร้างการเติบโตครั้งใหม่ในช่วง 5 ปีจากนี้ ด้วยงบลงทุน 50,000 ล้านบาท ครอบคลุมทั้ง 4 กลุ่มธุรกิจ หวังผลักดันรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรจากการดำเนินงานปกติเพิ่มเป็น 21,000 ล้านบาทในปี 2569 หรือเติบโต 1.75 เท่าจากปี 2564 และจะรักษาระดับ EBITDA ที่ระดับ 40% และอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย (IBD) ของบริษัทต่อส่วนของผู้ถือหุ้นรวมต่ำกว่า 1.2 เท่า
จรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัทและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บมจ.ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น หรือ WHA กล่าวถึงแผนธุรกิจประจำปี 2565 และอนาคตว่า ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป มีเป้าหมายทรานส์ฟอร์มแกนหลักของธุรกิจสู่ดิจิทัล โดยจะนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้พัฒนาความมั่นคงและประสิทธิภาพของการดำเนินงาน และสร้างความแตกต่างให้กับผลิตภัณฑ์และบริการ ภายใต้แนวคิดนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศอัจฉริยะ (Smart Eco Industrial Estates)
ก้าวต่อไปของการทรานส์ฟอร์มสู่ดิจิทัลของกลุ่มบริษัทคือ การใช้เทคโนโลยีเพื่อหาแหล่งรายได้ใหม่ๆ จากผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นนวัตกรรมใหม่ และการใช้ข้อมูลเพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนโรดแมปของกลุ่มบริษัทที่ตั้งเป้าหมายจะก้าวเป็นบริษัทเทคโนโลยีให้ได้ภายในปี 2567 รายละเอียดดังนี้
ดันธุรกิจโลจิสติกส์หาโอกาสใหม่ในเวียดนาม
ธุรกิจโลจิสติกส์ในประเทศไทย กลุ่มบริษัทตั้งเป้าที่จะขยายพื้นที่ให้บริการให้ครอบคลุมมากขึ้นในเชิงภูมิศาสตร์ รวมทั้งตอบโจทย์ความต้องการใหม่ๆ ในทำเลยุทธศาสตร์ใน 3 จังหวัด EEC อันได้แก่ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง โดยจะขยายพอร์ตผลิตภัณฑ์ด้านโลจิสติกส์ให้ครอบคลุม ตั้งแต่อาคารคลังสินค้าแบบ Built-to-Suit และคลังสินค้าแบบทั่วไป ไปจนถึงอาคารคลังสินค้าที่มีขนาดเล็กลง เพื่อรองรับความต้องการขององค์กรขนาดย่อมและธุรกิจ SMEs และตอบโจทย์เซกเมนต์ที่กำลังเติบโตกลุ่มนี้
กลยุทธ์ในประเทศจะเน้นขยาย Office Solution ซึ่งปัจจุบันมีอาคารสำนักงาน 6 แห่งในทำเลทองพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน โดยมีกลุ่มผู้เช่าเป้าหมายตั้งแต่กลุ่มสตาร์ทอัพที่กำลังเริ่มก่อตั้งธุรกิจไปจนถึงองค์กรขนาดใหญ่ โดยตั้งเป้าคว้าโครงการและสัญญาใหม่ๆ ในปี 2565 ให้ได้ 180,500 ตารางเมตร และยังมีสัญญาเช่าระยะสั้นอีก 100,000 ตารางเมตร และคาดว่าจะมีทรัพย์สินภายใต้กรรมสิทธิ์และการบริหารรวมทั้งสิ้น 2,685,000 ตารางเมตร
ในส่วนต่างประเทศจะให้ความสำคัญกับโอกาสต่างๆ เพื่อเก็บเกี่ยวประโยชน์จากความต้องการอันแข็งแกร่งนี้ และใช้ประโยชน์จากขีดความสามารถที่มีอยู่ของดับบลิวเอชเอในเวียดนาม
ธุรกิจนิคมฯ รับอานิสงส์จีนย้ายฐานการผลิต
ในประเทศไทย ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ (WHAID) เป็นผู้เล่นที่พร้อมที่สุดที่จะคว้าธุรกิจจากการฟื้นตัว จากจำนวนที่ดินที่มีอยู่ 12,100 ไร่ ซึ่งรวมที่ดินอุตสาหกรรมที่พัฒนาแล้วพร้อมขายทั้งสิ้น 4,160 ไร่ที่ตั้งอยู่บนทำเลยุทธศาสตร์ โดยคาดว่า WHAID จะได้ประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตจากประเทศจีน อันเป็นผลจากความตึงเครียดทางการค้า ค่าแรง หรือการขาดแคลนพลังงาน ดังจะเห็นได้จากสัดส่วนลูกค้าชาวจีนของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา จำนวนกว่า 50% ของยอดขายที่ดินทั้งหมด
นอกจากนี้ยังมองเห็นความต้องการที่ดินจากลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมมูลค่าสูงโดยเฉพาะในกลุ่ม 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve) หรือกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ อาหาร และด้านการแพทย์
ในช่วง 5 ปีข้างหน้า WHAID มีแผนที่จะพัฒนานิคมอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น โดยในปี 2565 บริษัทเตรียมขยายนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 4 (เพิ่มอีก 580 ไร่) โดยได้เริ่มการก่อสร้างในไตรมาส 4 ปี 2564 ที่ผ่านมา และรวมถึงการก่อสร้างนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง เฟสแรก (1,100 ไร่) ที่เป็นโครงการร่วมทุนกับ บมจ.ไออาร์พีซี (IRPC) ซึ่งกำหนดจะเริ่มพัฒนาในปลายปี 2565
ในประเทศเวียดนาม WHAID จะผลักดันความสำเร็จของโครงการเหงะอานเพื่อขยายธุรกิจไปสู่ระดับประเทศ โดยเขตอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล โซน เหงะอาน เฟส 1 พื้นที่ 900 ไร่ ได้ก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมโครงสร้างพื้นฐาน สาธารณูปโภค และการดูแลสิ่งแวดล้อมคุณภาพสูงสุด และมีนักลงทุนจากฮ่องกง ญี่ปุ่น ไทย จีน และเวียดนาม จากอุตสาหกรรมต่างๆ เช่าพื้นที่แล้วกว่าครึ่งหนึ่ง แผนจากนี้ บริษัทจะเร่งพัฒนาเฟสต่อๆ ไป ซึ่งรวมถึงเฟสที่ 2 (พื้นที่ 2,200 ไร่) ที่มีกำหนดว่าจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างในไตรมาส 1 ปี 2565 โดยเมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จ รวมทั้งเฟส 1, 2 และส่วนต่อขยาย เขตอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล โซน เหงะอาน จะมีพื้นที่โดยรวมทั้งสิ้น 11,550 ไร่
“ถึงแม้ว่าจะมีข้อจำกัดด้านการเดินทางในปี 2564 แต่ยอดขายที่ดินทั้งในประเทศไทยและเวียดนามยังสูงถึง 855 ไร่ และด้วยกิจกรรมการพัฒนาลูกค้าที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง จึงคาดการณ์ว่าในปี 2565 ยอดขายที่ดินจะเพิ่มขึ้นราว 46% แตะ 1,250 ไร่ ทั้งในประเทศไทยและเวียดนาม” จรีพรกล่าว
WHAUP เน้นสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าและบริการ
ในส่วนธุรกิจสาธารณูปโภคดำเนินการโดย บมจ.ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตีส์ แอนด์ พาวเวอร์ (WHAUP) จะใช้ความเชี่ยวชาญของ WHAUP เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์น้ำมูลค่าเพิ่ม อาทิ Wastewater Reclamation และน้ำปราศจากแร่ธาตุ (Demineralized Water) ให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรมทั้งภายในและภายนอกนิคมอุตสาหกรรม
นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะขยายธุรกิจน้ำในแนวดิ่งให้เติบโตมากขึ้น โดยการสำรวจหาแหล่งน้ำดิบทางเลือกต่างๆ เพื่อความมั่นคงและลดต้นทุนในการซื้อน้ำดิบ และยังได้นำแพลตฟอร์ม Smart Utilities Services และ Innovative Solution มาให้บริการแก่ลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมของกลุ่มบริษัทอีกด้วย
ส่วนในประเทศเวียดนามที่บริษัทถือหุ้นอยู่ในบริษัทน้ำ 2 แห่ง WHAUP ยังมองหาโครงการใหม่ๆ รวมถึงโอกาสในการลงทุนเข้าซื้อกิจการ (M&A) เพิ่มเติม โดยปีนี้คาดว่าจะมีปริมาณการจำหน่ายและบริหารน้ำสูงถึง 128 ล้านลูกบาศก์เมตรในประเทศไทย และ 25 ล้านลูกบาศก์เมตรในเวียดนาม
สำหรับธุรกิจด้านพลังงาน WHAUP เตรียมพร้อมเดินหน้าพัฒนาโซลูชันพลังงานสะอาดและเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าให้มากขึ้น ทั้งจากโครงการโซลาร์รูฟท็อปและโครงการผลิตไฟฟ้าจากขยะ (Waste-to-Energy) โดยตั้งเป้าหมายสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ที่ลงนามแล้ว 150 เมกะวัตต์ภายในสิ้นปี 2565 นอกจากนี้บริษัทยังเตรียมนำเทคโนโลยีนวัตกรรมใหม่ๆ เช่น ระบบการซื้อขายไฟฟ้าแบบ Peer-to-Peer (P2P) และระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ Smart Microgrid มาใช้ในนิคมอุตสาหกรรม โดยคาดว่าในปี 2565 บริษัทจะมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ตามสัดส่วนการถือหุ้นสูงถึง 700 เมกะวัตต์
จรีพรกล่าวว่า กลุ่มบริษัทได้ริเริ่มดับบลิวเอชเอ ดิจิทัล แพลตฟอร์ม เพื่อนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในกลุ่มบริษัท ซึ่งก่อนหน้านี้ได้เริ่มต้นวางโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลมาอย่างต่อเนื่อง และปัจจุบันได้มีการติดตั้งโครงข่ายสายเคเบิลใยแก้วนำแสง (FTTx) เพื่อให้บริการแก่ลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรม 9 แห่ง และมีแผนจะขยายเพิ่มเป็น 11 แห่งภายในปี 2565 อีกทั้งยังได้ขยายไปสู่การบริหารจัดการเสาโทรคมนาคมใหม่ทั้งหมดภายในนิคมอุตสาหกรรมของกลุ่มบริษัท
นอกจากนี้ยังมีกำไรพิเศษจาการจำหน่าย Data Center 2 แห่ง จากการปรับปรุงแผนธุรกิจดิจิทัลของบริษัท ซึ่งคาดว่าจำหน่ายแล้วเสร็จและบันทึกกำไรภายในไตรมาส 1 ปี 2565
ทุ่มงบลงทุน 5 หมื่นล้านใน 5 ปี
สำหรับงบลงทุน 50,000 ล้านบาท ที่ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ได้ตั้งไว้สำหรับการลงทุนภายใน 5 ปีนั้น ประกอบด้วย งบลงทุนสำหรับธุรกิจโลจิสติกส์ 18,000 ล้านบาท ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม 18,000 ล้านบาท ธุรกิจสาธารณูปโภคและพลังงาน 10,000 ล้านบาท และอีก 4,000 ล้านบาท สำหรับการลงทุนในธุรกิจดิจิทัล ธุรกิจสตาร์ทอัพและเทคโนโลยี เพื่อขับเคลื่อนดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะและทรานส์ฟอร์มองค์กรสู่บริษัทเทคโนโลยีอย่างสมบูรณ์
“เรามองปี 2565 ด้วยความมั่นใจและในด้านบวก เพราะเราเชื่อว่าข้อจำกัดต่างๆ เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดจะเริ่มคลี่คลาย โดยเศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัวอย่างรวดเร็วในช่วง 5 ปีข้างหน้า เราจะเดินหน้ากระบวนการทรานส์ฟอร์มธุรกิจทุกฮับของเราให้เป็นดิจิทัลต่อไป โดยใช้เทคโนโลยีอัจฉริยะและนวัตกรรมเพื่อยกระดับการดำเนินงานของเราให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น” จรีพรกล่าว
สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานปี 2564 กลุ่มบริษัทมีผลประกอบการที่โดดเด่นด้วยรายได้ที่เติบโตสูงถึง 28% ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ท้าทายในปี 2564 บริษัทมีรายได้และส่วนแบ่งกำไรรวม 12,000 ล้านบาท พร้อมสินทรัพย์รวมแตะ 83,000 ล้านบาท และคงอันดับเครดิตองค์กรที่ระดับ A-
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP