บมจ.ดับบลิวเอชเอ หรือ WHA ตั้งเป้าหมายผลประกอบการปี 2564 ทั้งรายได้และกำไรจะสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยเติบโตในอัตรา 30% จากปีก่อนหน้า พร้อมเตรียมขายสินทรัพย์เข้ากองทรัสต์ WHART มูลค่ากว่า 5,500 ล้านบาทไตรมาส 4 ปีนี้ และรักษา EBITDA Margin ที่ 40% ขณะเดียวกันได้วางแผนทรานส์ฟอร์ม4 ธุรกิจหลักขององค์กรสู่เทรนด์ดิจิทัลเพื่อรองรับความต้องการของภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม
จรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม WHA กล่าวว่า บริษัทมีความมั่นใจและพร้อมรับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั่วโลกตามการคาดการณ์ พร้อมเร่งทรานส์ฟอร์มธุรกิจสู่ดิจิทัล แม้ว่าจะมีความท้าทายเกิดขึ้นจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด ทั้งนี้เมื่อผู้คนได้รับวัคซีนครอบคลุมมากขึ้นจึงมองเห็นสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ที่หนุนโดยการค้าระหว่างประเทศ การส่งออกของไทย รวมไปถึงการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศให้เพิ่มสูงขึ้น
โดยในปี 2564 บริษัทคาดการณ์รายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรปกติจะสูงเป็นประวัติการณ์ ด้วยอัตราการเติบโตกว่า 30% จากปีก่อน โดยที่ยังคงระดับความสามารถในการทำกำไรสูงด้วยกำไรจากการดำเนินการก่อนหักค่าใช้จ่าย (EBITDA) กว่า 40% อีกทั้งบริษัทเตรียมขายสินทรัพย์เข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดับบลิวเอชเอ พรีเมี่ยม โกรท (WHART) มูลค่ากว่า 5,500 ล้านบาท ในไตรมาส 4/64 อีกด้วย
“ในภาพรวมเศรษฐกิจทั่วโลก เชื่อว่ากำลังฟื้นตัว ซึ่งก็แตกต่างกันไปแต่ละประเทศ แต่สภาพคล่องในระบบในขณะนี้ค่อนข้างล้น จึงอยากให้ภาครัฐเร่งดำเนินการด้านการควบคุมสถานการณ์โควิด เร่งกระจายวัคซีนเพื่อให้ประเทศไทยสามารถเปิดประเทศได้ และดึงสภาพคล่องที่ล้นระบบอยู่ตอนนี้มาลงทุนในประเทศไทยให้ได้ เมื่อมีเงินลงทุนไหลเข้ามาแล้ว ภาคเอกชนไทยเองก็พร้อมจะลงทุน เศรษฐกิจไทยโดยรวมก็จะฟื้นตัวขึ้นในที่สุด” จรีพรกล่าว
สำหรับกลยุทธ์ทางธุรกิจในครึ่งหลังปี 2564 และในอนาคต กลุ่มบริษัทจะเน้นทรานส์ฟอร์มทั้ง 4 ธุรกิจหลัก โดยมุ่งสู่ความเป็นดิจิทัลมากขึ้น เพื่อรองรับความต้องการของภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรมทั้งในประเทศและต่างประเทศ
โดยในกลุ่มธุรกิจโลจิสติกส์ ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากธุรกิจอีคอมเมิร์ซ รวมถึงความร่วมมือระยะยาวกับพันธมิตรสำคัญระดับโลก ตลอดจนการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาปรับใช้
ในครึ่งแรกของปี 2564 มีการเซ็นสัญญาโครงการใหม่ๆ รวมพื้นที่ 35,000 ตารางเมตร และสัญญาระยะสั้นอีก 100,000 ตารางเมตร และภายในสิ้นปีจะมีการส่งมอบโครงการโลจิสติกส์แห่งใหม่ 5 แห่ง ครอบคลุมพื้นที่รวมมากกว่า 110,000 ตารางเมตร พร้อมเปิดตัวโครงการเมกะโลจิสติกส์แห่งใหม่ และขยายพื้นที่ในโครงการเดิม ขนาดกว่า 400,000 ตารางเมตร
จรีพรกล่าวว่า สถานการณ์โควิดช่วยเร่งให้ธุรกิจอีคอมเมิร์ซเติบโตเร็วขึ้น และเป็นการเพิ่มความต้องการศูนย์กระจายสินค้าสำหรับสินค้าอุปโภคบริโภค นอกจากนี้ธุรกิจโลจิสติกส์ของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ยังได้รับผลตอบรับที่ดีจากความต้องการโรงงานสำเร็จรูป (Ready Built Factories: RBF) และคลังสินค้าสำเร็จรูป (Ready Built Warehouse: RBW) ในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคและอิเล็กทรอนิกส์ที่เพิ่มมากขึ้น คาดว่าภายในสิ้นปีนี้จะมีพื้นที่คลังสินค้าภายใต้การถือครองและบริหารจัดการรวม 2,560,000 ตารางเมตร
ธุรกิจโลจิสติกส์ของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ยังได้เดินหน้าในการนำเทคโนโลยีอัจฉริยะมาปรับใช้เพื่อสร้างโซลูชันบริการที่เปี่ยมนวัตกรรมแบบครบวงจรที่สร้างมูลค่าใหม่ๆ มุ่งตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ทั้งนี้บริษัทได้เข้าซื้อหุ้น 29.40% ในบริษัท สตอเรจ เอเชีย จำกัด ผู้ให้บริการให้เช่าพื้นที่จัดเก็บทรัพย์สินส่วนบุคคลระดับพรีเมียม ภายใต้แบรนด์ ‘i-Store Self Storage’ เพื่อพัฒนาบริการพื้นที่จัดเก็บทรัพย์สินส่วนบุคคลให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วยการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมขั้นสูง ซึ่งในปีนี้ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป มีแผนที่จะขายทรัพย์สิน ได้แก่ โครงการ Built-to-Suit Warehouse และ General Warehouses ขนาด 180,000 ตารางเมตร เข้ากองทรัสต์ WHART ด้วยมูลค่าทรัพย์สินรวมกว่า 5,500 ล้านบาท
กลุ่มธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ (WHAID) ปัจจุบันมีนิคมอุตสาหกรรมทั้งสิ้น 12 แห่ง โดยตั้งอยู่ในประเทศไทย 11 แห่ง และเวียดนามอีก 1 แห่ง นอกจากนี้ยังกำลังพัฒนานิคมอุตสาหกรรมแห่งใหม่เพิ่มอีก 3 โครงการในประเทศไทย และอีก 2 โครงการในเวียดนาม คิดเป็นพื้นที่รวม 68,000 ไร่ ซึ่งรวมพื้นที่กำลังดำเนินการก่อสร้างอยู่จำนวน 49,900 ไร่
WHAID ยังคงเดินหน้าดำเนินธุรกิจตามแนวคิด ‘Smart Eco Industrial Estates’ ด้วยการเปิดรับนวัตกรรมเทคโนโลยีใหม่ๆ โดยเริ่มดำเนินการ ‘ศูนย์ควบคุมการปฏิบัติงานแบบรวมศูนย์’ ซึ่งตั้งอยู่ที่อาคารดับบลิวเอชเอ ทาวเวอร์ เพื่อตรวจสอบตัวบ่งชี้หลักด้านการทำงานและสิ่งแวดล้อม รวมถึงข้อมูลการจราจร ความปลอดภัย การปล่อยก๊าซทางอากาศ ระดับน้ำ ตลอดจนคุณภาพน้ำเสีย ซึ่งเป็นข้อมูลที่รวบรวมมาจากระบบจัดการจราจรอัจฉริยะ กล้องวงจรปิด และระบบ SCADA1 ซึ่งติดตั้งไว้ที่นิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ ในประเทศไทย
ธุรกิจสาธารณูปโภคพื้นฐานภายในและภายนอกนิคมอุตสาหกรรม บมจ.ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ (WHAUP) เดินหน้าขยายธุรกิจสาธารณูปโภคภายในและภายนอกนิคมอุตสาหกรรมของกลุ่มบริษัททั้งในประเทศไทยและเวียดนาม และพัฒนาโซลูชันพลังงานหมุนเวียนที่เปี่ยมด้วยนวัตกรรม โดยเฉพาะธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ โดยคาดว่าธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ของ WHAUP จะมีกำลังการผลิตรวม 90 เมกะวัตต์ภายในสิ้นปี 2564
ธุรกิจดิจิทัลแพลตฟอร์ม WHA ยังคงดำเนินแผนการให้บริการไฟเบอร์ออปติก (FTTx) ในนิคมอุตสาหกรรมทั้ง 10 แห่งของดับบลิวเอชเอในประเทศไทย ซึ่งปัจจุบัน FTTx ได้ให้บริการแก่ลูกค้าทั้งหมดในนิคมอุตสาหกรรม 6 แห่ง ในขณะที่กำลังดำเนินการติดตั้งให้ครอบคลุมพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรมที่เหลืออยู่อีก 4 แห่ง
และล่าสุดยังได้ขยายความร่วมมือกับสตาร์ทอัพในด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ ซึ่งเป็นการยกระดับผลิตภัณฑ์และบริการที่มอบให้แก่ลูกค้าของกลุ่มบริษัท
นอกจากนี้เพื่อขยายธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป บริษัทได้เปิดตัว ‘WHA Office Solutions’ นำเสนอพื้นที่สำนักงานชั้นนำระดับเวิลด์คลาสบนพื้นที่รวม 100,000 ตารางเมตร บน 6 ทำเลทองในกรุงเทพฯ และสมุทรปราการ รวมถึงสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ ‘ดับบลิวเอชเอ ทาวเวอร์’, โครงการ SJ Infinite I, ตึกสำนักงาน @Premium, โครงการ WHA Bangna Business Complex, ศูนย์บ่มเพาะนวัตกรรมทัสพาร์ค ดับบลิวเอชเอ ตลอดจนโครงการ WHA KW S25 ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้าง
“การดำเนินธุรกิจในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ถือเป็นเส้นทางที่มีความท้าทาย แต่ก็เต็มไปด้วยโอกาสใหม่ๆ เรามองเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และหวังว่าในภูมิภาคเอเชียโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทย จะสามารถเร่งให้บริการฉีดวัคซีนแก่ประชาชนให้ครอบคลุม เราจะได้ผ่านวิกฤตโควิดไปด้วยกัน วิกฤตการณ์ครั้งนี้นับเป็นตัวเร่งให้เกิดการทรานส์ฟอร์มสู่ดิจิทัล และนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาปรับใช้ และสิ่งเหล่านี้เองช่วยให้เรามองไปข้างหน้าได้อย่างมีความหวัง” จรีพรกล่าว
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line คลิก https://lin.ee/xfPbXUP