สภาทองคำโลก (World Gold Council: WGC) คาดความต้องการทองคำแข็งแกร่งต่อเนื่อง หลังไตรมาส 1/65 ความต้องการทองคำเพิ่ม 34% สู่ระดับ 1,234 ตัน สูงที่สุดในรอบ 3 ปี รับแรงหนุนจากการที่นักลงทุนทั่วโลกหันมาซื้อทองเพิ่มขึ้นเนื่องจากวิกฤตสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน รวมถึงอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก แต่ความต้องการในไทยลดลง 54% เหตุนักลงทุนและผู้บริโภคแห่ขายทำกำไรในช่วงที่ราคาทองคำพุ่งสูง
สภาทองคำโลก เปิดเผยว่าความต้องการทองคำทั่วโลกในไตรมาสท 1/65 เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 1,234 ตัน หรือเพิ่มขึ้น 34% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้ว และเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดในรอบ 3 ปี โดยได้แรงหนุนจากการที่นักลงทุนทั่วโลกหันมาซื้อทองเพิ่มขึ้น เนื่องจากวิกฤตสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน รวมถึงอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก
เชื่อแนวโน้มการลงทุนในทองคำเพิ่มต่อเนื่อง
แอนดรูว์ เนย์เลอร์ (Andrew Naylor) ผู้บริหารประจำภูมิภาคแห่งสภาทองคำโลก (APAC ไม่รวมประเทศจีน) กล่าวว่า ในช่วงที่เหลือของปีนี้ ความต้องการและการลงทุนในทองคำจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ผู้บริโภคบางส่วนจะหลีกเลี่ยงการซื้อทอง เนื่องจากถูกกดดันจากราคาทองคำที่เพิ่มขึ้น และการชะลอตัวของเศรษฐกิจในหลายประเทศทั่วโลกก็ตาม อย่างไรก็ตาม ในไตรมาส 2/65 ความต้องการทองคำอาจจะลดลง จากการที่ประเทศจีนขยายพื้นที่การล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการระบาดของโควิด
โดยเฉพาะฝั่งนักลงทุนสถาบันที่จะเข้าลงทุนในทองคำผ่าน Gold ETF มากขึ้น เพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่ปรับตัวสูงขึ้น และส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐ Fed เร่งดำเนินนโยบายปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบัน
โดยข้อมูลจากรายงานแนวโน้มความต้องการทองคำ (Gold Demand Trends Report) ฉบับล่าสุดของสภาทองคำโลก ระบุว่า การลงทุนในกองทุนรวมทองคำ (Gold ETF) มีเงินทุนไหลเข้ารายไตรมาสสูงที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาส 3/63 ที่ 269 ตัน มากกว่าเงินทุนไหลออกสุทธิรายปีซึ่งอยู่ที่ 173 ตันในปี 2564 โดยได้แรงหนุนส่วนหนึ่งจากราคาทองคำที่สูงขึ้น
ในขณะเดียวกันความต้องการซื้อทองคำแท่งและเหรียญทองคำปรับสูงขึ้นกว่าค่าเฉลี่ยในรอบ 5 ปี อยู่ที่ 11% หรือ 282 ตัน แต่การที่จีนประกาศปิดประเทศอีกครั้ง และราคาทองที่สูงในตุรกีล้วนมีส่วนทำให้ความต้องการซื้อทองลดลงกว่า 20% เมื่อเทียบกับความต้องการซื้อที่สูงมากในไตรมาส 1/64
ความต้องการทองคำในไทยลด เหตุคนตื่นขายทำกำไร
สำหรับความต้องการซื้อทองคำของผู้บริโภคในประเทศไทยลดลงจาก 8.3 ตันในไตรมาสแรกของปี 2564 ไปอยู่ที่ 3.8 ตันในไตรมาสแรกของปี 2565 ซึ่งนับว่าลดลงถึง 54%
การลดลงโดยรวมเกิดจากการลงทุนในทองคำแท่งและเหรียญที่ลดลง 74% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา จาก 6.2 ตันในไตรมาส 1/64 ไปอยู่ที่ 1.6 ตันในไตรมาส 1/65 แต่ในขณะเดียวกัน ความต้องการซื้อเครื่องประดับในกลุ่มผู้บริโภคขยับเพิ่มมากขึ้น 8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา จาก 2.0 ตันในไตรมาส 1/64 ไปเป็น 2.2 ตัน ในไตรมาส 1/65
แอนดรูว์กล่าวว่า ผู้บริโภคในประเทศไทยมีแนวโน้มอ่อนไหวต่อราคา และด้วยราคาขายภายในประเทศที่สูง นักลงทุนจำนวนมากจึงเลือกขายทำกำไรเมื่อราคาถึงเป้าที่ตั้งไว้ นอกจากนี้ยังมีหลักฐานที่บ่งชี้ว่าการลงทุนในผลิตภัณฑ์ทองคำในประเทศไทยยังคงเผชิญกับคู่แข่งสำคัญอย่างการลงทุนแบบไม่ต้องถือครองผลิตภัณฑ์หรือที่เรียกว่า Paper Gold
“แม้ความต้องการซื้อเครื่องประดับตอนนี้ยังไม่กลับไปเท่ากับช่วงก่อนเกิดโรคระบาด แต่การกลับมาเปิดประเทศทั้งในด้านเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวก็ส่งผลให้ความต้องการเพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคยังคงชะลอการซื้อสินค้าราคาสูงอย่างทองคำไว้ก่อน และเลือกที่จะขายทำกำไรจากราคาทองคำที่เพิ่มขึ้น” แอนดรูว์กล่าว
ทั้งนี้ สาเหตุที่ราคาทองคำปรับเพิ่มขึ้น เกิดจากวิกฤตการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ซึ่งส่งผลกระทบอย่างหนักต่อเศรษฐกิจโลกและกระตุ้นความสนใจของนักลงทุน โดยราคาทองคำปรับขึ้นไปอยู่ที่ 2,070 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในช่วงเวลาสั้นๆ ในเดือนมีนาคม ซึ่งยังต่ำกว่าระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
เกาะติดศึก Fed ขึ้นดอกเบี้ยสู้เงินเฟ้อ
แอนดรูว์กล่าวว่า ความผันผวนของราคาทองคำยังคงดำเนินต่อไปอีกระยะ เพราะได้รับแรงกดดันจากเงินเฟ้อที่ปรับตัวขึ้นสูงต่อเนื่อง และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ Fed
ทั้งนี้ ราคาทองคำ เงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยมักจะชักเย่อกันอยู่แล้วตามปกติ และเท่าที่จับตาสถานการณ์มาต่อเนื่อง พบว่าปัจจุบันแรงดึงระหว่างราคาทองคำ เงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยยังค่อนข้างมีความสมดุลอยู่ ราคาทองคำจึงไม่ได้เคลื่อนไหวเร็วเกินไป อย่างไรก็ตาม สภาทองคำโลกก็ยังคงจับตาปัจจัยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ Fed ต่อเนื่อง
ทั้งนี้ หากเงินเฟ้อปรับขึ้นสูงอีกราคาทองคำก็จะปรับขึ้นตามไปด้วย เนื่องจากทั้งฝั่งผู้ลงทุนและผู้บริโภคจะมีความต้องการซื้อทองคำเพิ่มขึ้นเพื่อไว้ใช้เป็นสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยง
ตลาดทองรูปพรรณซบตามเศรษฐกิจจีนและอินเดีย
สำหรับในภาคทองรูปพรรณ ความต้องการซื้อทองคำทั่วโลกลดลงเหลือ 474 ตัน คิดเป็น 7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลจากอุปสงค์ที่ลดลงในจีนและอินเดีย และแม้ว่าตลาดทองรูปพรรณในประเทศจีนจะคึกคักช่วงเทศกาลตรุษจีน แต่ภาคส่วนนี้กลับซบเซาลงภายหลังจากการระบาดของโควิดในเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคม ที่นำไปสู่มาตรการล็อกดาวน์ภายใต้ข้อปฏิบัติตามนโยบายเฝ้าระวังโควิดที่เคร่งครัดของจีน
ในขณะที่ประเทศอินเดีย มีการลดการจัดงานแต่งงานและงานเฉลิมฉลองในวันมงคลต่างๆ ในไตรมาสแรก ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการซื้อทองคำในประเทศ ประกอบกับราคาทองคำที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก ส่งผลให้ผู้บริโภคชาวอินเดียจำนวนมากชะลอการซื้อทองคำ
ขณะที่ความต้องการทองคำในด้านเทคโนโลยีแตะระดับสูงสุดในรอบ 4 ปีที่ 82 ตัน คิดเป็น 1% ในไตรมาสแรกของปี 2564 แม้ว่าภาคธุรกิจดังกล่าวมีการเติบโตพอประมาณ แต่ก็พบว่ายังมีความท้าทายที่ต้องเผชิญเนื่องจากศูนย์กลางทางการเงินและอุตสาหกรรมที่สำคัญอย่างเซี่ยงไฮ้อยู่ภายใต้มาตรการล็อกดาวน์อีกครั้ง ซึ่งส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานสินค้าอิเล็กทรอนิกส์
แบงก์ชาติทั่วโลกยังโหมสำรองทองคำ
ทางด้านการซื้อสุทธิของธนาคารกลางมีเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวจากไตรมาสก่อนหน้า โดยมีทองคำสำรองอย่างเป็นทางการเพิ่มขึ้นมากกว่า 84 ตันในไตรมาส 1/65 โดยผู้ซื้อรายใหญ่ในภาคส่วนนี้คือ อียิปต์ และตุรกี แม้ว่าตัวเลขดังกล่าวจะต่ำกว่าไตรมาส 1/64 ถึง 29% แต่ธนาคารกลางก็ยังคงให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพของทองคำในช่วงเวลาที่ไม่แน่นอนเช่นนี้
สำหรับธนาคารแห่งประเทศไทย แม้จะเป็นผู้ซื้อสุทธิทองคำรายใหญ่ในไตรมาส 4/64 แต่ในไตรมาสนี้ไม่ใช่ผู้ซื้อรายใหญ่แล้ว
อุปทานทั่วโลกเพิ่ม 4%
อุปทานของทองคำทั้งหมดเพิ่มขึ้น 4% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา เนื่องจากการทำเหมืองอย่างแข็งขันจนทองแตะระดับ 856 ตัน รวมถึงการรีไซเคิลทองคำที่เพิ่มขึ้น 15% จากปีที่แล้ว ซึ่งแตะระดับ 310 ตัน ตอบรับกับราคาทองคำที่สูงขึ้น
ลูอิส สตรีท (Louise Street) นักวิเคราะห์อาวุโสประจำยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา (EMEA) ของสภาทองคำโลกให้ความเห็นว่า ในไตรมาสแรกของปี 2565 เป็นช่วงแห่งความผันผวน ทั้งวิกฤตการณ์ทางการเมือง อุปสรรคในห่วงโซ่การผลิต และอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้น เหตุการณ์และสภาวะตลาดทั่วโลกเหล่านี้ทำให้ทองคำมีสถานะที่แข็งแกร่งขึ้นเนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์การลงทุนที่มีความปลอดภัย ซึ่งไม่ใช่แค่สำหรับนักลงทุนเท่านั้น แต่ยังปลอดภัยสำหรับผู้บริโภครายย่อย ในฐานะที่เป็นสินทรัพย์ลงทุนชนิดที่เหมาะสำหรับนักลงทุนทั้งสองประเภท
ลูอิสกล่าวอีกว่า จากการเปลี่ยนแปลงของตลาดในปัจจุบันคาดการณ์ได้ว่า ความต้องการลงทุนจะยังคงมีมาก เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อสูงและความตึงเครียดทางการเมืองที่เพิ่มสูงขึ้นมีแนวโน้มที่จะเพิ่มความต้องการทองคำในกลุ่มนักลงทุน แต่ในทางกลับกัน ผู้บริโภคก็กำลังเผชิญกับวิกฤตค่าครองชีพทั่วโลก ซึ่งหมายความว่าผู้บริโภคจะระมัดระวังในการใช้เงิน แม้ว่าความต้องการของผู้บริโภคจะฟื้นตัวจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของโควิด แต่ความต้องการซื้อเครื่องประดับที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องอาจหยุดชะงัก ด้วยต้นทุนที่สูงขึ้นและการชะลอตัวทางเศรษฐกิจโดยทั่วไป
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP