สุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยรายละเอียดการใช้สิทธิสวัสดิการผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐของผู้มีสิทธิจำนวน 14.5 ล้านราย ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2560 ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2562 รวมทั้งสิ้นกว่า 7.68 หมื่นล้านบาท โดยแบ่งเป็นการใช้จ่ายที่ร้านธงฟ้าประชารัฐ ร้านค้าประชารัฐของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ร้านถุงเงินประชารัฐ มูลค่ากว่า 5.5 หมื่นล้านบาท ร้านก๊าซหุงต้ม 127 ล้านบาท รถไฟฟ้า (รฟม.) เกือบ 32 ล้านบาท รถขนส่งของ บขส. 202 ล้านบาท รถไฟ 358 ล้านบาท และรถเมล์ของ ขสมก. 2.3 แสนบาท และมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตราว 5 พันล้านบาท การปรับการเติมเงินรายเดือนวงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคเป็นเงิน 4.89 พันล้านบาท เพื่อเพิ่มทางเลือกให้ผู้ถือบัตรสามารถมีระยะเวลาในการใช้จ่ายสอดคล้องกับความต้องการ และสามารถสะสมเงิน (e-Money) ไว้ใช้จ่ายเมื่อจำเป็น หรือสะสมไว้เป็นเงินออมในบัตรได้ รวมทั้งยังสามารถนำไปซื้อสินค้ากับร้านค้าที่ร่วมมาตรการชดเชยภาษีมูลค่าเพิ่ม เพื่อรับเงินคืน 5% ได้อีกด้วย
สำหรับมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยเพิ่มเติมผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ กรมบัญชีกลางได้โอนเงินเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money) ของผู้มีสิทธิ ประกอบด้วย มาตรการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในช่วงปลายปี 7.14 พันล้านบาท มาตรการช่วยเหลือค่าเช่าบ้านสำหรับผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยที่มีอายุครบ 60 ปีขึ้นไป ซึ่งมีภาระค่าเช่าบ้านและไม่มีที่อยู่อาศัย 247 ล้านบาท มาตรการช่วยเหลือค่าเดินทางไปรับการรักษาพยาบาลแก่ผู้สูงอายุ 3.17 พันล้านบาท มาตรการช่วยเหลือค่าไฟฟ้าและค่าน้ำประปา 147 ล้านบาท
นอกจากนี้กรมบัญชีกลางได้โอนเงินชดเชยให้แก่ผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยใช้ข้อมูลภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้มีรายได้น้อยได้ชำระ แบ่งเป็น 5% โอนเข้ากระเป๋า e-Money เป็นเงิน 20 ล้านบาท และ 1% เพื่อการออม โอนเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารออมสิน สำหรับผู้มีสิทธิอาชีพอื่น นอกเหนือจากเกษตรกรและรับจ้างทางการเกษตรเป็นเงิน 3.37 ล้านบาท บัญชีเงินฝาก ธ.ก.ส. สำหรับเกษตรกรและผู้รับจ้างทางการเกษตร เป็นเงิน 3.5 แสนบาทด้วย
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
อ้างอิง:
- กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง
