“ช่วง ม.5 ผมมีโอกาสได้เข้าไปร่วมซ้อมกับสโมสรบลูเวฟ ชลบุรี ตอนแรกเราก็ไปซ้อมประมาณ 1-2 เดือน เรากำลังคุยเรื่องสัญญาแล้ว แต่ผมอยากเข้าจุฬาฯ”
เตอร์-วีระเทพ ป้อมพันธุ์ ไม่มีทางรู้เลยว่าการตัดสินใจที่จะปฏิเสธสัญญาการเป็นนักฟุตซอลอาชีพในครั้งนั้นจะเปลี่ยนแปลงชีวิตเขาไปตลอดกาล และเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาจากการเป็นนักฟุตซอลพรสวรรค์มาเป็นเจ้าของฉายา ‘ซ้ายตะขอ’ หรือ ‘จารย์เตอร์’ ของแฟนบอลหลายคน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
หลายคนอาจรู้ว่าเขาผันตัวเองจากนักฟุตซอลมาเป็นนักฟุตบอลสมัยที่เรียนอยู่ในรั้วจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่แรงบันดาลใจสำคัญของการที่ทำให้เขาตัดสินใจที่จะมุ่งหน้าเข้าไปเรียนในรั้วจามจุรี มีพ่อของเขาเป็นส่วนสำคัญ
ด้วยความที่เป็นห่วงอนาคตของลูกชายและมองเห็นภาพได้กว้างกว่า พ่อของเขาเตือนให้เห็นความสำคัญของการศึกษา และหวังว่าลูกชายคนนี้จะเลือกเข้าเรียนที่จุฬาฯ ซึ่งจะทำให้เขาหางานทำได้ง่ายกว่าหากไม่ได้เล่นกีฬาอีกต่อไปแล้ว
“ตอนที่ผมอยู่ ม.6 ผมยังไม่ได้คิดเรื่องเรียนเท่าไร จริงๆ ก็มีหลายๆ มหาวิทยาลัยเสนอให้เราเข้าไปเรียน แล้วได้ทุนฟุตซอล ซึ่งตอนนั้นเราไม่ได้คิดถึงเรื่องการเรียนเลย เราคิดแค่อยากเล่นฟุตซอล อยากมีเงิน มีอาชีพ
“จนวันหนึ่งพ่อเข้ามาพูดกับเราว่าเข้าจุฬาฯ เหอะ พ่ออยากให้เรียนก่อน ถ้าเรียนจบแล้วจะทำอะไรก็ทำ จะออกมาเล่นฟุตบอลหรือฟุตซอลก็แล้วแต่ แต่อย่างน้อยถ้าวันหนึ่งเราเลิกเล่นฟุตซอลหรือฟุตบอลไป เราก็ยังมีการศึกษา ยังมีวุฒิ และยังสามารถไปหางานทำต่อได้”
วีระเทพเลือกทำตามคำแนะนำของพ่อ ทำให้เขาปฏิเสธการเซ็นสัญญากับบลูเวฟ ชลบุรี ด้วยเหตุด้านการศึกษานี่เอง
“ถ้าเราเซ็นสัญญากับบลูเวฟ ชลบุรี แล้วเราจะไปเรียนจุฬาฯ ถามว่าเราจะเหนื่อยไหม แล้วเราจะมีเวลาเรียนไหม มีเวลาซ้อมไหม เพราะว่าถ้าเราเข้าไปจุฬาฯ แรกๆ เราก็ต้องเรียนหนัก แล้วเราก็ต้องไปซ้อมด้วย มันจะทำให้เราเหนื่อย ระยะทางมันไม่ได้อยู่ใกล้กันขนาดนั้น
“สุดท้ายเราก็เลือกที่จะไม่ได้เซ็นสัญญากับบลูเวฟ ชลบุรี และเลือกจะเข้าจุฬาฯ”
แต่ไม่มีใครรู้ว่าการเลือกเข้าจุฬาฯ ในครั้งนั้นจะเปลี่ยนวีระเทพจากนักฟุตซอลฝีเท้าดีให้กลายมาเป็นนักฟุตบอล ด้วยสาเหตุง่ายๆ อย่างการไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเล่นฟุตซอล
“ตอนแรกผมเข้าโครงการฟุตซอลในรอบแรกของจุฬาฯ แต่ผมเข้าไม่ได้เพราะคะแนน GAT/PAT ไม่ถึง เหมือนผมลงสอบไป 5 ตัว แต่ผมเข้าสอบแค่ 2 ตัว อีก 3 ตัวสอบช่วงบ่าย ผมไม่รอเลยกลับบ้านเลย มันก็เลยทำให้คะแนนเราไม่ถึง
“เขาก็เลยแนะนำว่าลองมาคัดฟุตบอลไหม เผื่อมีโอกาสได้เข้า เขามองว่าการเล่นฟุตบอลน่าจะไปได้ไกลกว่าฟุตซอล ด้วยลีกอาชีพ ด้วยรายได้ต่างๆ เราก็ลองไปคัดดู เราก็ติดโครงการฟุตบอลของจุฬาฯ เราก็เปลี่ยนจากฟุตซอลมาเป็นฟุตบอลในตอนนั้น”
ไม่มีใครรู้ว่าการตัดสินใจในครั้งนั้นจะทำให้วีระเทพกลายมาเป็นนักฟุตบอลที่ยอดเยี่ยมและกลายเป็นแกนหลักของของทีมชาติไทยในปัจจุบัน แถมยังโชว์ฟอร์มอย่างยอดเยี่ยมในนัดแรกศึกเอเชียนคัพในวัย 27 ปีด้วย
ภาพ: ช้างศึก-ฟุตบอลทีมชาติไทย
อ้างอิง:
