วันนี้ (13 สิงหาคม) ที่อาคารรัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 วาระที่ 2-3 วงเงิน 3,780,600 ล้านบาท ในระหว่างวันที่ 13-15 สิงหาคม ซึ่งเป็นการพิจารณาเป็นรายมาตรา (วาระ 2) เป็นวันแรก
วีระ ธีระภัทรานนท์ ในฐานะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 สงวนความเห็น อภิปรายว่า ขอบคุณคณะกรรมการบริหารของพรรคประชาชนที่ได้ให้โอกาสตนเอง ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก ได้มาทำหน้าที่ในฐานะกรรมาธิการฯ ในสัดส่วนของพรรคประชาชน ร่วมกับกรรมาธิการท่านอื่น พร้อมทั้งให้ความอิสระอย่างเต็มที่
สำหรับการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี อาศัยพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 และพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 เป็นสำคัญ ในการกำหนดกรอบ กติกา และมาตรฐานในการบริหารรายได้ การใช้จ่าย และการก่อหนี้ของรัฐ เพื่อให้การเงินการคลังของรัฐมีความมั่นคงและยั่งยืน รวมถึงกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอีกจำนวนหนึ่ง
ทั้งนี้ แม้จะมีการพิจารณาอย่างรอบคอบ และมุ่งหวังที่จะทำเพื่อส่วนรวมให้มากที่สุด แต่จากประสบการณ์ของตนเอง ที่ได้ทำหน้าที่ในฐานะกรรมาธิการต่อเนื่อง 2 ปี มีความเป็นห่วงต่อสถานภาพทางการเงินของประเทศในปัจจุบันและในอนาคตมากกว่าเดิม เมื่อเทียบกับตอนที่เป็นเพียงผู้รับรู้ในฐานะผู้สังเกตการณ์
หากเรายังมีวิธีคิดแบบเก่า และวิธีการแบบเดิมในการบริหารจัดการการเงินการคลังของประเทศอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เราจะเผชิญกับวิกฤติการเงินการคลังในอนาคตอย่างแน่นอน
วีระกล่าวว่า ปัญหาที่สำคัญ คือ วงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ที่กำหนดไว้ 3,780,600 ล้านบาท จัดทำแบบขาดดุลมียอดขาดดุล 860,000 ล้านบาท และมีการประมาณการรายได้อยู่ที่ 2,920,600 ล้านบาท และอีกปัญหาคือการประมาณการรายได้
แม้ว่า 4 หน่วยงานหลัก ได้แก่ กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย จะร่วมกันประเมินอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างรอบคอบ โดยคาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2569 จะขยายตัวร้อยละ 1.3 – 3.3 ค่ากลางร้อยละ 2.3%
แต่จากสถานการณ์จริง อัตราการขยายตัวน่าจะต่ำกว่านั้นมาก ส่งผลให้ประมาณการรายได้สูงเกินจริง ต้องนำเงินคงคลังมาใช้ และตั้งงบประมาณเพื่อชดใช้เงินคงคลังในอนาคต เช่น งบประมาณปี 2569 ที่ตั้งวงเงินรายจ่ายเพื่อชดเชยเงินคงคลังไว้ถึง 123,541 ล้านบาท
นอกจากนี้ งบประมาณรายจ่ายจำนวนหนึ่งไม่ส่งผลต่อเศรษฐกิจ เพราะเป็นเพียงการโอนเงิน เช่น การชำระคืนเงินกู้ การชำระดอกเบี้ย การชำระเงินต้นและดอกเบี้ยให้รัฐวิสาหกิจตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลัง รวมถึงงบชดเชยเงินคงคลังเมื่อประมาณการรายได้ผิดพลาด ซึ่งถือเป็นภาระทางการคลังที่น่าห่วง
อีกทั้งยังมีการตั้งงบประมาณที่ไม่สอดคล้องกับประมาณการรายได้ ทำให้งบประมาณรายจ่ายสูงเกินจริง ต้องกู้เพิ่ม จัดทำงบขาดดุลในปริมาณมาก แม้จะอ้างว่าเพื่อไม่ขัดต่อวินัยการเงินการคลังและวิธีการงบประมาณก็ตาม
การบริหารงบประมาณลักษณะนี้จะสะสมความเสี่ยงทางการคลังมากขึ้น ยังไม่รวมถึงการจัดเก็บรายได้ต่อจีดีพีที่ลดลง จากเดิมร้อยละ 19 – 20 เหลือเพียงร้อยละ 14 – 15 ซึ่งเป็นสัญญาณอันตราย สิ่งที่น่าตกใจในไส้ใน ของงบประมาณ คือ ภาระผูกพันสูงถึง 1,656,643 ล้านบาท แบ่งเป็นภาระเดิม 1,304,552 ล้านบาท และภาระใหม่ที่จะเริ่มในปี 2569 อีก 352,091 ล้านบาท ซึ่งทำให้อนาคตอาจติดกับดักทางงบประมาณ เนื่องจากภาระผูกพันสะสมแก้ไขยาก
ในปีที่แล้ว (งบประมาณ 2568) ตนเสนอให้ใช้แนวทาง ‘Zero Growth’ คือ ไม่เพิ่มงบรายจ่าย และใช้งบเท่าที่จำเป็น ใช้เงินกู้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น ไม่ใช้จ่ายเกินตัวจนหนี้สินพอกพูนในอัตราเร่งน่ากังวลเหมือนปัจจุบัน การขาดดุลเกินร้อยละ 4 ต่อจีดีพี ถือว่าอันตราย เพราะมาตรฐานควรไม่เกินร้อยละ 3 และเมื่อเศรษฐกิจชะลอตัว ยิ่งทำให้ปัญหาขาดดุลต่อจีดีพีรุนแรงขึ้น
วีระกล่าวทิ้งท้ายว่า หากอ่านรายงาน ความเสี่ยงทางการคลังประจำปี 2567 และแผนการคลังระดับปานกลาง ปี 2569 – 2572 ซึ่งรายงานและแผนนี้เป็นเอกสารทางการที่ใช้ประเมินสถานการณ์การเงินของประเทศ จะพบว่าส่งสัญญาณว่า อาจเกิดวิกฤติการเงินการคลังในอนาคตได้ หากไม่แก้ไขตั้งแต่วันนี้ และทั้งหมดนี้คือเหตุผลที่เสนอให้ตัดลดงบรายจ่ายปี 2569 ลงร้อยละ 10 เพื่อปรับฐานการเงินการคลังให้อยู่ในระดับเหมาะสม และป้องกันไม่ให้สะสมปัญหาจนกลายเป็นวิกฤติในอนาคต