×

กลยุทธ์รักษาความมั่งคั่ง

02.02.2025
  • LOADING...
wealth-preservation-strategies

ผลตอบแทนการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์เดือนแรกของปี 2025 อยู่ที่ -6.1% และเป็นการตกลงมาอย่างต่อเนื่องจากปลายปีที่แล้ว ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ หุ้นที่ตกลงมานั้นเกิดขึ้นในแทบทุกกลุ่มอุตสาหกรรมและแทบทุกกลุ่มหุ้น เช่น หุ้นเก็งกำไร หุ้นปั่น หุ้น VI และหุ้นปันผล ไม่ต้องพูดถึงหุ้นเติบโตหรือหุ้นคอร์เนอร์ที่เคยเป็น ‘ดารา’ ที่มีราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปมากในช่วงก่อน และทำให้ราคาหุ้นแพงมากที่มีค่า P/E สูงกว่าปกติมากที่ ‘คอร์เนอร์แตก’ ราคาหุ้นตกลงมามากทั้งๆ ที่ไม่ได้มีเหตุการณ์อะไรรุนแรงเกิดขึ้นกับบริษัท

 

การตกลงมาของหุ้นรอบนี้ดูเหมือนว่าจะยังไม่จบ บางทีอาจจะเพิ่งเริ่มต้น เพราะเหตุผลที่ทำให้หุ้นตกนั้นยังคงอยู่ ‘ครบถ้วน’ ไม่ว่าจะเป็น

 

  1. การเติบโตของ GDP ที่ดูเหมือนว่าจะไม่ดีขึ้นภายในปีนี้
  2. อัตราดอกเบี้ยที่ ‘คงจะไม่ลด’ และจะยังรบกวนไม่ให้หุ้นขึ้นไปได้ทั้งในระดับโลกและของไทย
  3. กำไรของบริษัทจดทะเบียนที่ไม่น่าจะดีขึ้น เพราะความต้องการสินค้าในประเทศที่ยังอ่อนแอ อานิสงส์จากภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ดี การใช้จ่ายรายการใหญ่ เช่น การซื้ออสังหาริมทรัพย์และรถยนต์ยังไม่ฟื้นตัว 
  4. หุ้นโดยรวมมีราคาแพง โดยวัดจากค่า P/E ที่สูงถึง 18 เท่า

 

จะมีที่เป็นบวกหน่อยก็คือปัจจัยทาง ‘เทคนิค’ ที่ว่าดัชนีหุ้นในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ‘เลวร้ายมาก’ คือปี 2565 บวกแค่ 0.7%, ปี 2566 ติดลบ 15.2% และปี 2567 ติดลบ 1.1% ในขณะที่ตลาดหุ้นโลกสดใส ดังนั้นปี 2568 ดัชนีไทยก็ควรจะต้องดี ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่เคยเป็นติดต่อกันมากว่า 20 ปี อย่างไรก็ตาม ในฐานะของคนที่เน้นเรื่องของ ‘พื้นฐาน’ เป็นหลัก ผมคิดว่า ‘รอบนี้’ ตลาดหุ้นไทยเปลี่ยนแปลงไปแล้ว และเราก็จะต้องเปลี่ยนกลยุทธ์การลงทุน

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือต้องปรับ ‘โหมด’ การลงทุนของเรา จากโหมดของการ ‘รุก’ เป็นโหมด ‘รับ’ เต็มตัว ซึ่งนี่ก็คล้ายๆ กับเรื่องของการรบในสงครามที่เรารู้ว่าเราสู้ไม่ได้เมื่อมีการรบกันระยะหนึ่งแล้ว การที่จะบุกเข้าไปต่อสู้นั้นโอกาสที่จะแพ้สูง ทางที่ดีกว่าก็คือการปรับกองทัพตั้งรับข้าศึก ซึ่งจะทำให้มีโอกาสรอดมากกว่า

 

นักลงทุนที่เคยประสบความสำเร็จอย่างสูงจนมีพอร์ตการลงทุนเพิ่มขึ้นมาก และมีความมั่งคั่งในระดับที่มีอิสรภาพทางการเงิน รวมถึงคนที่ ‘รวย’ จากหุ้นไปแล้วนั้น ผมคิดว่าสถานการณ์ตลาดหุ้นในปัจจุบันนั้นเปลี่ยนไปมากพอที่จะทำให้เราต้องเปลี่ยนวิธีการลงทุนของเรา จากการที่เน้นลงทุนในหุ้นเติบโต หุ้นวัฏจักร หรือหุ้นฟื้นตัวที่มีโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนมากๆ ในเวลาอันสั้น มาเป็นการลงทุนในหุ้นที่มีความปลอดภัยสูงเป็นพิเศษ หรือไม่ก็ไม่ลงทุนในหุ้นเลย เพื่อที่จะ ‘รักษาความมั่งคั่ง’ ของเราไว้ได้

 

การรักษาความมั่งคั่งเอาไว้ให้เท่ากับระดับเดิมหรือใกล้เคียงนั้น วิธีที่ดีและปลอดภัยที่สุดก็คือถือเงินสดให้มากที่สุด อย่างไรก็ตาม นักลงทุนที่มีพอร์ตการลงทุนใหญ่ถึงระดับหนึ่งก็มักจะพบว่า การแปลงพอร์ตหุ้นให้เป็นเงินสดโดยที่ราคาหรือมูลค่าไม่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ในภาวะที่ตลาดหุ้นซบเซาและสภาพคล่องของหุ้นจำนวนมากโดยเฉพาะที่มีขนาดเล็กหายไปมาก ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่าย

 

ดังนั้นการเลือกหุ้นที่จะขายเพื่อเก็บเป็นเงินสดจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ หุ้นที่มีราคาแพง โดยเฉพาะที่มีค่า P/E สูงและกำไรในช่วงประมาณ 1-2 ไตรมาสข้างหน้าคงไม่โตนัก จึงเป็นเป้าหมายที่ควรจะขายออกไป อย่างไรก็ตาม การขายก็ต้องทยอยทำและต้องไม่รีบจนเกินไปที่อาจจะทำให้คนอื่น ‘ตกใจ’ เมื่อเห็นว่าหุ้นตกแรงและขายตาม ซึ่งอาจทำให้หุ้นตกลงไปอีกเป็นลูกโซ่และตกในระดับ ‘คอร์เนอร์แตก’ ซึ่งจะทำให้พอร์ตเสียหายหนัก

 

หุ้นราคาไม่แพงแต่ไม่มีอะไรโดดเด่น และที่สำคัญก็ไม่ได้จ่ายปันผลมากเทียบกับราคาหุ้น เช่น ให้ปันผลตอบแทนแค่ 3-4% ในช่วงเร็วๆ นี้ ก็ต้องถือว่าเป็นเป้าหมายที่ควรจะถูกขายออกไปเพื่อเก็บเป็นเงินสดจะดีกว่า แม้ว่าเงินสดจะให้ผลตอบแทนแค่ 1% แต่ความเสี่ยงที่จะลดลงไม่มี ในขณะที่หุ้นตัวนั้นที่เราอาจมองว่าดีพอสมควรและมีปันผล ‘พอใช้ได้’ ค่า P/E ก็แค่ 10 เท่าต้นๆ แต่ในความเห็นของผมแล้ว ความเสี่ยงที่หุ้นจะตกลงไปเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่กระทบกับตลาดหุ้นในช่วงไม่นานนับจากนี้อาจมากกว่าที่เราคิด ดังนั้นถ้าคิดจะรักษาความมั่งคั่งให้คงอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ เราก็อาจต้องยอมขายหุ้นทิ้ง

 

หุ้นที่ถูกมาก ค่า P/E ปกติต่ำกว่า 10 เท่า และ/หรือ ปันผลตอบแทนปีละ 5-6% ขึ้นไปต่อเนื่องหลายปี เป็นหุ้นที่อาจถือไว้ได้และยังสามารถรักษาความมั่งคั่งไว้ได้แม้ในยามที่สภาวะแวดล้อมไม่เอื้ออำนวยอย่างปัจจุบัน ผมเองมีความเชื่อว่าหากการจ่ายปันผลยังทำได้เท่าเดิม ก็อาจมีคนเข้าไปซื้อลงทุนกินปันผลแม้ว่าหุ้นจะตกลงมา ซึ่งนั่นก็จะทำให้หุ้นไม่ค่อยตกหรือตกลงมาไม่แรงมาก อาจไม่เกิน 5-6% ซึ่งก็จะทำให้ผลตอบแทนการลงทุนไม่เป็นลบหรือลดลงไม่มาก อย่างไรก็ตาม ถ้าจะให้ปลอดภัยขึ้นอีก ก็ควรจะต้องดูว่าหนี้ของบริษัทก็มีน้อยเมื่อเทียบกับบริษัทอื่นที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันด้วย เพราะบริษัทที่มีหนี้น้อยนั้นจะยืนอยู่ได้ในยามที่ธุรกิจอยู่ในภาวะที่ยากลำบาก

 

หุ้นที่อยู่ในประเทศที่เติบโตเร็วและอนาคตก็ยังคงเติบโตเร็วต่อไป อย่างเช่น ตลาดหุ้นเวียดนามนั้น ถ้ามีราคาถูก เช่น มีค่า P/E 10-15 เท่า และก็ไม่ได้เป็นธุรกิจเก่าที่ไม่โตแล้ว หรือไม่ได้เป็นธุรกิจของรัฐที่มีการบริหารงานที่ไม่ได้มาตรฐาน ผมคิดว่ามีความเสี่ยงที่ราคาจะลดลงแรงน้อยกว่าในตลาดหุ้นไทยมาก เหตุผลก็คือ กิจการมักจะโตไปกับเศรษฐกิจ และการแข่งขันจากคู่แข่งก็จะไม่มาก เหนือสิ่งอื่นใดก็คือพวกเขามักจะอยู่ในกลุ่มของ ‘ผู้ชนะ’ ที่กำลังแข่งขันกับธุรกิจรุ่นเก่าหรือบริษัทของรัฐที่มีความสามารถด้อยกว่า

 

ในกรณีของหุ้นที่ไม่ได้มีราคาถูก แต่มีคุณสมบัติสูงมากและกำลังเป็นหุ้นซูเปอร์สต็อกในตลาดหุ้นโตเร็วอย่างเวียดนามนั้น ถ้าหุ้นมีค่า P/E ในระดับไม่เกิน 25 เท่า และการเติบโตของรายได้หรือกำไรยังคงเป็นเลขสองหลัก ผมคิดว่าความเสี่ยงที่หุ้นจะตกมาแรงและทำลายความมั่งคั่งลงมากนั้นน่าจะน้อย เหตุผลอีกอย่างหนึ่งก็คือ ถ้าการเติบโตของประเทศยังไปได้ดี ความต้องการที่จะเข้าไปถือหุ้นลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติจะมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และนั่นทำให้หุ้นไม่ควรจะตกลงมาแรงมาก แม้ว่าบางทีอาจเกิดภาวะวิกฤตในตลาดระดับโลกก็ตาม

 

ดังนั้นในกรณีของหุ้นที่อยู่ในตลาดที่กำลังเติบโตดังกล่าว การลงทุนในหุ้นน่าจะเป็นกลยุทธ์ในการรักษาความมั่งคั่งของเราได้ ว่าที่จริงมีโอกาสสูงที่หุ้นในตลาดแบบนั้นจะกลายเป็น ‘หุ้นนายแบก’ ที่คอย ‘ชดเชย’ การขาดทุนในตลาดหุ้นไทย ทำให้เราสามารถรักษาความมั่งคั่งไม่ให้ลดลงได้แม้ว่าตลาดหุ้นไทยจะ ‘แย่มาก’

 

‘หุ้นโลก’ ซึ่งก็คือหุ้นระดับซูเปอร์สต็อกที่ส่วนใหญ่จดทะเบียนในตลาดหุ้นอเมริกานั้น ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมามากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และหุ้นก็มีราคาค่อนข้างแพง ค่า P/E ระดับ 30 เท่า ผมคิดว่าเป็นหุ้นที่ไม่สามารถไว้ใจได้ว่าจะช่วยรักษาความมั่งคั่งของเราได้ในช่วงเร็วๆ นี้ เหตุผลส่วนหนึ่งที่สำคัญอยู่ที่การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีและภูมิรัฐศาสตร์ที่เกิดขึ้น ซึ่งสามารถกระทบกับหุ้นได้อย่างรุนแรง บางทีในชั่วข้ามคืน

 

ดังนั้นเราคงต้องเลือกว่าจะลงทุนในหุ้นแบบไหน ส่วนตัวผมคิดว่าถ้าจะลงทุนผมจะหลีกเลี่ยงหุ้นที่มีโอกาสถูกกระทบโดยปัจจัยทางเทคโนโลยีและการเมืองระหว่างประเทศสูง และเลือกลงทุนในหุ้นที่มีความมั่นคง อาจด้วยเพราะหุ้นมี Network Effect หรือเป็นหุ้นที่อิงอยู่กับความคิดหรือจิตใจของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงได้ยากมากกว่า และก็ยังต้องมีราคาไม่แพงเกินไป

 

ทั้งหมดนี้ก็คือกลยุทธ์การเลือกหุ้นเป็นรายตัวในตลาดหุ้นทั้ง 3 แห่ง คือ ตลาดหุ้นไทย ตลาดหุ้นในตลาดเติบโตแบบเวียดนาม และตลาดหุ้นโลก ในแบบที่จะรักษาความมั่งคั่งไว้ไม่ให้ลดลงเป็นหลัก เช่นเดียวกับกลยุทธ์ถือเงินสดให้มากขึ้น ซึ่งก็จะลดความเสี่ยงในการที่หุ้นจะตกลงมารุนแรงด้วย อย่างไรก็ตาม การถือเงินสดมากเกินไปก็อาจไม่เหมาะสม เพราะโอกาสที่จะได้ผลตอบแทนที่ดีก็อาจจะหมดไปด้วย

 

ข้อเตือนใจสุดท้ายก็คือ โดยธรรมชาติแล้ว เมื่อรวยพอแล้ว ถ้ารวยเพิ่มอีก ส่วนที่เพิ่มนั้นให้ความพึงพอใจน้อยลงเรื่อยๆ แต่ถ้ารวยอยู่แล้วเกิด ‘จนลง’ หรือความมั่งคั่งน้อยลง ความเจ็บปวดที่จะได้รับนั้นจะรุนแรงเป็น 2 เท่าของความพึงพอใจที่ได้รับเมื่อรวยขึ้น ดังนั้นอย่าโลภคิดถึงแต่ความมั่งคั่งที่จะเพิ่มขึ้น แต่จงคิดถึงวิธีที่จะรักษาความมั่งคั่งให้คงอยู่ตลอดไปมากกว่า ซึ่งก็ไม่ใช่อยู่เฉยๆ และถือเงินสด แต่เป็นการลงทุนที่ยึดความปลอดภัย โดยเฉพาะในยามที่ตลาดไม่เอื้ออำนวยเป็นหลัก

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising