เมื่อพูดถึงอุตสาหกรรมสินค้าเกษตรของไทย 1 ใน ‘พืชเศรษฐกิจ’ ที่ทำรายได้ให้ประเทศมหาศาลคงต้องยกให้กับ ‘ข้าวไทย’ ไทยเคยเป็นผู้ส่งออกข้าวอันดับหนึ่งของโลก กระทั่งระยะหลัง ถูกอินเดียและเวียดนามเบียดแซง ตกเป็นรอง
น่าห่วงว่า วันนี้ภูมิรัฐศาสตร์ ตลาดโลกแข่งขันสูง ทำให้ข้าวไทยนับวันยิ่งขายยาก ผลผลิตข้าวไทยลดลงเรื่อยๆ จนสู้คู่แข่งอย่างเวียดนามไม่ได้แล้ว ที่สำคัญศักยภาพการผลิตข้าวคาร์บอนต่ำเวียดนามแซงหน้าไทยไปมากถึง 1.6 เท่า
หากรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่เร่งรัดพัฒนาพันธุ์ข้าวไทยให้ได้ผลผลิตต่อไร่สูงขึ้น อนาคตจะเป็นอย่างไร?
ล่าสุด วันนี้ ( 26 ก.พ.) สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย ระบุว่า 2 เดือนแรกปี 2568 ไทยส่งออกข้าวร่วงหนัก 32% เหตุราคาข้าวไทยแพงสุดในโลก อินเดียกลับมาทวงคืนตลาดข้าวขาว และปีนี้การแข่งยากจะยากลำบากขึ้น สหรัฐฯ จ่อขึ้นภาษีนำเข้าข้าว และสินค้าเกษตร 10%
อินเดียกลับมาทวงคืนตลาด ราคาข้าวไทยแพง ขายยากขึ้น
ชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เปิดเผยว่า การส่งออกข้าวไทย สะสมตั้งแต่ 1 มกราคม-24 กุมภาพันธ์ อยู่ที่ 1.1 ล้านตัน ซึ่งหากเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน ส่งออกได้ 1.6 ล้านตัน ร่วงลงถึง 32%
ปัจจัยหลักที่กดดันการส่งออกข้าวไทยปีนี้คือ ตลาดใหญ่อย่างอินเดียกลับมาส่งออกข้าวขาว และสต๊อกข้าวโลกเพิ่มจากผลิตประเทศส่งออกและนำเข้ารวมถึง 10 ล้านตัน หรือเพิ่ม 2% จาก 522 ล้านตัน เป็น 532 ล้านตัน สวนทางความต้องการลดลง ประกอบกับ ตลาดคู่แข่งแข่งขันด้านราคาสูง
“โดยเฉพาะ ราคาข้าวไทยถือว่าแพงสุดในโลก ทำให้ขายยาก อีกทั้งหลายประเทศปรับโครงสร้างนำเข้าภายใน และค่าเงินบาทผันผวน”
เปรียบเทียบราคาข้าวไทยกับต่างประเทศ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- ชวนวิเคราะห์ เหตุใดสินค้าจีนทะลัก ส่งออกเริ่มหมดแรง แม้แต่ ‘ข้าวไทย’ ยังเสี่ยงพ่ายแพ้…
- ไขคำตอบ ทำไมเสน่ห์และความสามารถในการแข่งขันไทยค่อยๆ เลือนหาย…
- ราคาข้าวไทยพุ่ง All Time High เสี่ยงฉุดไทยพ่ายเวียดนาม
ทำให้การส่งออกไตรมาสแรกปีนี้ น่าจะเหนื่อย คาดว่าจะมีการส่งออกเฉลี่ยเดือนละ 6 แสนตัน รวมแล้วไม่เกิน 2 ล้านตัน ซึ่งปีที่ผ่านมาไตรมาสแรกมีการส่งออกข้าว 3 ล้านตัน”
ปีนี้ ชาวนาปลูกข้าวมากขึ้น น้ำในเขื่อนมาก ข้าวนาปลูกข้าวนาปรัง ทำให้ซัพพลายเยอะ สถานการณ์นี้เกิดขึ้นทั่วโลก ดังนั้นไทยจึงเผชิญ การแข่งขันด้านราคา ทั้งการเพาะปลูกที่แพงขึ้น ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ปัญหาที่ตามมาก็ทำให้ชาวนาเดือดร้อน”
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลสามารถออกมาตรการช่วยเหลือได้แต่ไม่ควรเปลี่ยนแปลงกลไกราคา เพราะไทยส่งออกข้าวเป็นหลัก อีกทั้ง ควรรักษาค่าเงิน วันนี้เหลือ 33 บาท ทำให้ผู้ส่งออกไม่กล้าตั้งราคาขาย เพราะพืชไร่มาร์จินต่ำ
“เราต้องแข่งกับต่างประเทศ เพราะไทยแข่งกับวอลุ่ม ขอให้รัฐบาลดูแลเงินบาท ไม่ให้แกว่งตัวมากไป ที่สำคัญปีนี้ต้องเฝ้าติดตามตลาดสหรัฐฯ หากขึ้น 10% ก็เพิ่มต้นทุนนำเข้า สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน”
ร.ต.ท.เจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า ผลผลิตข้าวของประเทศไทยในปีนี้น่าจะออกมาเป็นจำนวนมาก เนื่องจากชาวนาปลูกข้าวมากขึ้น ขณะที่ปริมาณน้ำในเขื่อนหลักมีเพียงพอ โดยเฉพาะสำหรับการทำนาปรัง ขณะที่ต้นทุนการผลิตค่อนข้างสูง เช่น ค่าปุ๋ย ค่ายา ทำให้ชาวนาได้รับความเดือดร้อน
ไขสาเหตุราคาข้าวเปลือกชาวนาตกต่ำ ชี้ต้นทุน ค่าปุ๋ย-ค่ายาแพง
“ผลผลิตต่อไร่ ข้าวไทยสู้เวียดนามไม่ได้แล้ว” ร.ต.ท.เจริญ กล่าวและอธิบายเพิ่มว่า ปัจจุบันราคาข้าวเปลือกที่ตกต่ำนั้น รัฐบาลควรเข้ามาช่วยในเรื่องต้นทุนการผลิตและปัจจัยการผลิต ไม่ใช่แค่เรื่องราคา เพราะหากราคาข้าวไทยสูงเกินไป ก็จะส่งออกไม่ได้ และทำให้ข้าวล้นอยู่ในประเทศ
ทั้งนี้ รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรเร่งรัดการพัฒนาพันธุ์ข้าวไทยให้ได้ผลผลิตต่อไร่สูงขึ้น
“ตอนนี้ผลผลิตข้าวไทยเฉลี่ยอยู่ที่ราวๆ 400 กิโลกรัมต่อไร่ ต่ำที่สุดในโลก เทียบกับเวียดนามที่ผลผลิตข้าวอยู่ที่เฉลี่ย 800 กิโลกรัมต่อไร่ และสหรัฐฯ ที่ผลผลิตข้าวอยู่ที่เฉลี่ย 1,000 กิโลกรัมต่อไร่ รวมทั้งต้องเป็นพันธุ์ข้าวที่เป็นที่ต้องการของตลาดโลกด้วย นอกจากนี้ภาครัฐควรต้องเข้ามาดูแลให้อัตราแลกเปลี่ยนมีเสถียรภาพไม่แกว่งตัวจนเกินไป” ร.ต.ท.เจริญ กล่าว
ศักยภาพการผลิตข้าวคาร์บอนต่ำเวียดนามแซงไทย 1.6 เท่า
น่าสนใจว่า บทวิเคราะห์จาก ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุ เทรนด์ผู้บริโภคสีเขียว เร่งให้ไทยต้องปรับตัวสู่ “เกษตรคาร์บอนต่ำ”
โดยเฉพาะการผลิตข้าวที่ปล่อยก๊าซมีเทนสูง ขณะที่ศักยภาพการผลิตข้าวคาร์บอนต่ำของไทยอยู่ที่ 4 ล้านตัน ส่วนเวียดนามอยู่ที่ 6.3 ล้านตัน หรือแซงไทยไปราว 1.6 เท่า หากสหภาพยุโรปมีการบังคับใช้เกณฑ์การค้าข้าวคาร์บอนต่ำ ไทยจะสามารถส่งออกข้าวคาร์บอนต่ำไปได้จากผลผลิตที่มีเพียงพอ และคงช่วยประคองปริมาณส่งออกไว้ได้
ทำไมไทยต้องรุก ‘เกษตรคาร์บอนต่ำ’
ภาคเกษตรไทยจะถูกบีบมากขึ้นจากเทรนด์โลกกับสิ่งแวดล้อม หากไทยยังไม่ยกระดับไปสู่เกษตรคาร์บอนต่ำ ด้วยแรงกดดันของโลกใน 2 ด้านหลักคือ ด้านอุปทาน ทั้งการค้าด้านสิ่งแวดล้อมโลกที่เข้มข้นโดยเฉพาะในสหภาพยุโรป (EU) และอุปสงค์ ด้วยกระแสผู้บริโภคสีเขียวใน EU ที่มาแรง ปัจจัยเหล่านี้จะกดดันให้ไทยซึ่งเป็นผู้ผลิตและส่งออกสินค้าเกษตรต้องเร่งปรับตัวสู่เกษตรคาร์บอนต่ำ
ดังนั้น เมื่อข้าวไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงกว่าเวียดนาม ไทยจึงต้องมุ่งผลิตข้าวคาร์บอนต่ำ เพื่อรักษาการแข่งขันในตลาดสหภาพยุโรประยะข้างหน้า โดยการผลิตข้าวไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงเป็นอันดับ 2 จากผู้ผลิตหลักของโลก
ขณะที่คู่แข่งสำคัญอย่างเวียดนามปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่าอยู่ที่อันดับ 7 แม้จะเป็นสัดส่วนไม่มากและ EU ยังไม่ได้บังคับ แต่วันข้างหน้า EU ก็อาจบังคับใช้เกณฑ์นี้ได้
“การที่เวียดนามเป็นคู่แข่งในตลาด EU ซึ่งเดิมข้าวเวียดนามก็ได้เปรียบไทยอยู่แล้ว ทั้งต้นทุนการผลิต ผลผลิตต่อไร่ ราคาขาย และพื้นที่ปลูกที่อยู่ในเขตชลประทานกว่า 70% อีกทั้งเวียดนามยังจริงจังในการผลิตข้าวคาร์บอนต่ำและมีเป้าหมายที่ชัดเจน ถึงเวลาแล้วที่ไทยจะต้องเร่งยกระดับไปสู่การผลิตข้าวคาร์บอนต่ำ เพื่อลดผลกระทบจากการแข่งขันที่รุนแรงในระยะข้างหน้า”
ข้าวไทยฟอร์มตก ทำได้แค่ไหนถ้าเทียบกับเวียดนาม?
ศักยภาพการผลิตข้าวคาร์บอนต่ำของไทยยังตามหลังเวียดนาม เพราะพื้นที่ปลูกที่น้อยกว่าเวียดนาม แม้จะไม่มากนัก ราว 0.55 ล้านไร่ แต่ด้วยผลผลิตต่อไร่ที่ต่ำของไทยและการที่ไทยยังไม่มีเป้าหมายชัดเจนมากนักในเรื่องข้าวคาร์บอนต่ำ ทำให้แม้ไทยจะพยายามขยายพื้นที่ปลูกไปในเขตชลประทานที่เหมาะสมมากขึ้น แต่ก็ยังทำให้ศักยภาพการผลิตข้าวคาร์บอนต่ำของไทยทำได้เพียง 4 ล้านตัน
“วันนี้ เวียดนามมีเป้าหมายชัดเจนในปี 2030 ที่จะมีพื้นที่ปลูกข้าวคาร์บอนต่ำให้ได้ 6.25 ล้านไร่ จากการสนับสนุนของภาครัฐอย่างจริงจัง และผลผลิตต่อไร่ที่สูงกว่าไทยเกือบ 2 เท่า ทำให้เวียดนามมีศักยภาพการผลิตข้าวคาร์บอนต่ำได้มากกว่าไทยถึง 1.6 เท่า หรืออยู่ที่ 6.3 ล้านตัน”
ภาพ: alexis84 / Getty Images, enviromantic / Getty Images