×

สรุปแผนยกเครื่องตลาดหุ้นไทย เร่งหา New Economy เข้าสู่กระดานเทรดใหม่

26.05.2025
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

  • ตลาดหุ้นไทยกลับสู่ 1,200 จุด อีกครั้ง หลังจากไหลลงไปเกือบ 1,050 จุด เริ่มเห็นเสถียรภาพที่ดีขึ้น
  • ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ ศ.พิเศษ กิติพงศ์ เผยไอเดียตั้งกระดานเทรดใหม่ ดึง New Economy เช่น Deep Tech เข้ามาจดทะเบียน
  • ปัจจุบันจำนวนของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่มีกว่า 800 แห่ง ยังน้อยเกินไป ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีเป้าหมายที่จะเพิ่มจำนวน บจ. ไปถึง 1,000-1,500 บริษัท 
  • “การอนุญาตและปลดล็อกเรื่องการซื้อหุ้นคืน อยู่ระหว่างการแก้กฎกระทรวง ภายในเดือนนี้น่าจะแล้วเสร็จ ตั้งแต่ต้นปีมี  37 บริษัทที่ซื้อหุ้นคืน คิดเป็นเม็ดเงินประมาณ 6 พันล้านบาท ถือเป็นเงินใหม่ที่เข้ามาในตลาด” ศ.พิเศษ กิติพงศ์ กล่าว

ปฏิเสธไม่ได้ว่าหุ้นไทยเผชิญกับความผันผวนและความเชื่อมั่น ไม่ว่าจะด้วยปัจจัยจากเศรษฐกิจภายใน และความไม่แน่นอนจากภายนอก

 

ตลาดหุ้นไทยตลอดช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ได้รับแรงกระแทกจากหลายด้านส่งผลให้ดัชนีปรับตัวลง พร้อมๆ กับมูลค่าการซื้อขายที่ลดลงเช่นกัน

 

อย่างไรก็ดี ตลาดในระยะหลังก็เริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น จากดัชนีที่เคยร่วงไปเกือบ 1,050 จุด ก็สามารถฟื้นกลับมาอยู่ที่บริเวณ 1,200 จุด ได้อีกครั้ง แต่การจะดึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนกลับมา พร้อมกับผลักดันให้กับตลาดหุ้นไทยกลับมาเติบโตได้อีกครั้ง ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศก็จำเป็นจะต้องเร่งดำเนินการในหลายๆ ด้านเช่นกัน

 

ธุรกิจ New Economy บนกระดานเทรดใหม่ ความหวังใหม่ของหุ้นไทย

 

ล่าสุด ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ ศ.พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ได้สื่อสารผ่านสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม ที่ผ่านมา เพื่อให้ทุกคนมองเห็นภาพความหวังที่ชัดเจนมากขึ้น 

 

หนึ่งในประเด็นสำคัญที่ ศ.พิเศษ กิติพงศ์ พูดถึงคือ แนวคิดตั้งกระดานเทรดใหม่ เพื่อรองรับธุรกิจ New Economy เช่น ธุรกิจเทคโนโลยีขั้นสูง (Deep Technology) หรือบริษัทลูกของบริษัทใหญ่ที่ทำธุรกิจใหม่ รวมทั้งธุรกิจครอบครัว เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย 

 

“แม้จะมีโครงการต่างๆ ที่ดำเนินการอยู่ต่อเนื่อง แต่โดยรวมแล้วเรายังจำเป็นจะต้องมีเครื่องยนต์ที่ช่วยผลักดันตลาดเพิ่มเติม หนึ่งในนั้นคือแนวคิดในการตั้งกระดานซื้อขายใหม่ เพิ่มเติมจากเดิมที่มีอยู่ คือ SET mai และ LiVEx”

 

กระดานซื้อขายใหม่นี้จะรองรับธุรกิจที่เป็น New Economy ซึ่งจะมาจากหลากหลายส่วน เช่น บริษัท Deep Tech โดยมุ่งเน้นไปยังบริษัทต่างชาติ ดึงให้เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย ในส่วนนี้เรามีเกณฑ์บางส่วนรองรับอยู่แล้ว แต่ต้องปรับปรุงบางส่วน เช่น ปรับปรุงเกณฑ์ให้ธุรกิจเหล่านี้อาจไม่ต้องรอกำไรติดต่อกัน 3 ปี 

 

รวมทั้งบริษัทลูกของหลายบริษัทขนาดใหญ่ที่สามารถแยกตัว (Spin Off) ออกมาจดทะเบียนได้ หรือการจูงใจให้ธุรกิจครอบครัว (Family Business) เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ มากขึ้น 

 

“เหล่านี้คือตัวอย่างของการหา New Economy เข้ามาในตลาด แต่หนึ่งในปัญหาคือการหาผู้ลงทุน ถ้านำเงินภาครัฐมาลงทุนจะมีข้อจำกัดว่าห้ามขาดทุน ไม่ว่าจะเป็นกองทุนต่างๆ ของราชการ ในส่วนนี้อยู่ระหว่างการศึกษาในการหากองทุนมาลงทุนเป็น Seed Money หรือการหาให้บริษัทลูกของบริษัทใหญ่ๆ มารวมกันเป็น Holding Company” ศ.พิเศษ กิติพงศ์ กล่าว

 

 ศ.พิเศษ กิติพงศ์ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันจำนวนของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่มีกว่า 800 แห่ง ยังน้อยเกินไป ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีเป้าหมายที่จะเพิ่มจำนวน บจ. ไปถึง 1,000-1,500 บริษัท ซึ่งรวมถึงธุรกิจใหม่ๆ อิงกับบริษัทที่เสียภาษีในไทยประมาณ 2 แสนบริษัท การเพิ่มให้ได้ตามตัวเลขนี้จึงไม่ยากเกินเป้าหมาย 

 

 

ปรับเกณฑ์เอื้อซื้อหุ้นคืน เพิ่มมูลค่าหุ้น

 

อีกประเด็นที่จะช่วยเพิ่มเงินลงทุนใหม่เข้ามาในตลาดคือการปลดล็อกเกณฑ์การซื้อหุ้นคืน เดิมทีเมื่อครบโครงการซื้อหุ้นคืนแล้ว บริษัทจะเริ่มใหม่ได้ต้องรออีก 6 เดือน ปัจจุบันอนุญาตให้แต่ละบริษัทซื้อหุ้นคืนต่อได้ทันที พร้อมขยายเวลาในการถือหุ้นที่ซื้อคืนได้เป็น 5 ปี จากเดิม 3 ปี ก่อนที่จะต้องตัดสินใจว่าจะขายหุ้นซื้อคืนในตลาด หรือจะนำหุ้นซื้อคืนไปลดทุนจดทะเบียน 

 

“การอนุญาตและปลดล็อกเรื่องการซื้อหุ้นคืน อยู่ระหว่างการแก้กฎกระทรวง ภายในเดือนนี้น่าจะแล้วเสร็จ ตั้งแต่ต้นปีมี  37 บริษัทที่ซื้อหุ้นคืน คิดเป็นเม็ดเงินประมาณ 6 พันล้านบาท ถือเป็นเงินใหม่ที่เข้ามาในตลาด” ศาสตราจารย์พิเศษกิติพงศ์กล่าว

 

ซึ่งการซื้อหุ้นคืนของบริษัทต่างๆ จะช่วยให้มูลค่าหุ้นของบริษัทเพิ่มขึ้นได้ หากบริษัทตัดสินใจนำหุ้นซื้อคืนเหล่านั้นไปลดทุนจดทะเบียน

 

ด้านโครงการ TISA (Thailand Individual Savings Account) เป็นบัญชีเงินออมเพื่อการลงทุนในหุ้นไทยระยะยาว ขณะนี้ศึกษาเรียบร้อย หลังจากนี้จะนำไปหารือกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ก่อนจะเสนอให้กับกระทรวงการคลังต่อไป ซึ่งโครงการนี้จะช่วยดึงเม็ดเงินลงทุนใหม่เข้ามาสู่ตลาด

 

 

ส่วนมาตรการอื่นๆ ที่ตลาดหลักทรัพย์ดำเนินการไปแล้วก่อนหน้านี้ และยังดำเนินการต่อเนื่อง เช่น ปรับปรุงมาตรการกำกับการซื้อขายและคุ้มครองผู้ลงทุนเพิ่มเติมตามความเหมาะสม เพื่อให้นักลงทุนมีความเท่าเทียมกันให้มากที่สุด เช่น เรื่องชอร์ตเซลให้ใช้ Uptick, ห้ามทำ Naked Short โดยกำหนดต้องมีหุ้นในมือถึงจะทำชอร์ตเซลได้ และปัจจุบันกำลังเสนอให้ชอร์ตเซลทำได้เฉพาะหุ้น SET100 เท่านั้น เพื่อจะไม่ให้กระเทือนถึงนักลงทุนรายย่อย

 

รวมทั้งออกเกณฑ์ Dynamic Price Band, การขึ้นทะเบียน HFT และปรับปรุง Co-location นอกจากนั้นยังมีการปรับเกณฑ์เรื่องคุณสมบัติบริษัทเข้า SET และ mai และแยกประเภทการขึ้นเครื่องหมาย C และริเริ่มประยุกต์ใช้ AI ทั้งกระบวนการตลาดทุน

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising