หลังจาก ‘ซานาเอะ ทากาอิจิ’ ได้รับมติเห็นชอบจากสภา เมื่อวันที่ 21 ตุลาคมที่ผ่านมา ให้ดำรงตำแหน่ง ‘นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของญี่ปุ่น’ ทำให้ดัชนี Nikkei Stock Average ซึ่งเป็นดัชนีอ้างอิงของตลาดหุ้นญี่ปุ่น พุ่งเข้าใกล้ระดับ 50,000 จุด แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่ ค่าเงินเยนอ่อนค่าลงประมาณ 2% นับตั้งแต่ทากาอิจิขึ้นเป็นหัวหน้าพรรค LDP
โดยทากาอิจิ วัย 64 ปี ถูกมองว่ากำลังสืบทอดแนวคิดของอดีตนายกรัฐมนตรี ชินโซ อาเบะ ผู้ล่วงลับ หลังจากทากาอิจิได้ประกาศสนับสนุนการใช้จ่ายภาครัฐที่เพิ่มขึ้น และนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย ซึ่งเป็นคล้ายกับ ‘ลูกศรสามดอก’ ภายใต้ชุดนโยบายเศรษฐกิจ ‘อาเบะโนมิกส์’ (Abenomics)
‘ซานาเอะโนมิกส์’ (Sanaenomics) เดินตาม ‘อาเบะโนมิกส์’?
นักวิเคราะห์หลายคนมองว่า การทะยานขึ้นของตลาดหุ้นญี่ปุ่นครั้งนี้ ทำให้นึกถึงความกระตือรือร้นของนักลงทุนต่างชาติต่อหุ้นญี่ปุ่นในช่วงเริ่มต้นของ ‘อาเบะโนมิกส์’ (Abenomics)
โดยมาซาโตชิ คิคุจิ หัวหน้านักกลยุทธ์ตราสารทุนของ Mizuho Securities กล่าวว่า ในตอนนี้ จะไม่แปลกใจเลย หากระดับการซื้อสุทธิโดยนักลงทุนต่างชาติจะสูงเกินสถิติเดิมเมื่อปี 2013 ซึ่งเป็นช่วงแรกๆ ของรัฐบาลอาเบะ ที่ 15 ล้านล้านเยน ไปอีกหลายเท่าตัว
“ย้อนกลับไปช่วงเวลานั้น นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นญี่ปุ่นถึง 15 ล้านล้านเยนในปี 2013 ก่อนที่จะกลับมาเป็นผู้ขายสุทธิในอีกสองปีต่อมา เนื่องจากผู้คนเริ่มหมดศรัทธาในนโยบายเศรษฐกิจของอาเบะ” คิคุจิกล่าว
โดยสถาบันในประเทศญี่ปุ่นอย่าง Nomura Securities, Mizuho Securities และ Daiwa Securities ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ดัชนีนิกเกอิ ณ สิ้นปี คิคุจิจาก Mizuho กล่าวว่า เขาคาดว่าดัชนีนิกเกอิจะทะลุ 50,000 จุดภายในปีงบประมาณปัจจุบัน (ซึ่งสิ้นสุดในเดือนมีนาคม 2026) ทั้งนี้ Mizuho Securities ได้ปรับเป้าหมายดัชนีสิ้นปีขึ้น 2,000 จุด สู่กรอบ 45,000 ถึง 51,000 จุด
พูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย กล่าวกับ THE STANDARD WEALTH ว่า นโยบายของทาคาอิจิมีความคล้ายคลึงกับอาเบะโนมิกส์ (Abenomics) โดยอธิบายว่า “ถ้าเราดูจากตัวประวัติของซานาเอะเองก็ค่อนข้างจะเป็นลูกหม้อของอาเบะระดับหนึ่ง เพราะฉะนั้น แนวคิดของซานาเอะไม่น่าแตกต่างจากตัวนโยบาย Abenomics เท่าไหร่
ซึ่งหนึ่งแกนหลักของนโยบาย Abenomics ก็ได้แก่ ‘การกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการคลัง’ ที่เน้นการใช้จ่ายของภาครัฐเป็นหลัก และ ‘นโยบายการเงินผ่อนคลาย’ ผ่านการรักษาระดับอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ”
ทั้งนี้ อาเบะโนมิกส์เป็นชื่อเรียกชุดนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล ‘ชินโซ อาเบะ’ ประกอบด้วย 3 เสาหลัก ที่เรียกกันว่า ‘ธนู 3 ดอก’ ได้แก่ นโยบายการเงิน
(bold monetary policy) นโยบายการคลัง (flexible fiscal policy) และยุทธศาสตร์การเจริญเติบโต (growth strategy) เพื่อส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชน
พูนกล่าวอีกว่า จากนโยบายของทาคาอิจิ ตามที่ประกาศออกมา จะสนับสนุนการลงทุนเน้นเทคโนโลยี เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตในระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เทคโนโลยีด้านอวกาศ
นอกจากนี้ ทาคาอิจิยังค่อนข้างมีแนวคิดอนุรักษ์นิยมและชาตินิยม เพราะฉะนั้น จึงอาจเห็นการลงทุนในเทคโนโลยีที่ผูกติดกับการทหาร ซึ่งอาจทำให้งบประมาณด้านการทหารของญี่ปุ่นเพิ่มสูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม พูนกล่าวว่า แนวคิดดังกล่าวยังติดเงื่อนไขการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 9 ของญี่ปุ่น หรือการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับสันติภาพ (pacifist constitution) ที่ห้ามการใช้กำลังในการแก้ไขข้อพิพาทระหว่างประเทศ และห้ามการคงไว้ซึ่งกองกำลังทหาร ซึ่งจัดทำขึ้นหลังสงครามโลก
“หากแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ ญี่ปุ่นสามารถกลับมามีกองทัพเป็นของตนเองได้ ไม่ใช่แค่กองกำลังป้องกันตนเอง ซึ่งจะนำมาซึ่งงบประมาณจำนวนมหาศาล” พูนกล่าว
จับทิศทางธีม ‘Takaichi Trade’ ต่อตลาดหุ้น ตลาดบอนด์ และค่าเงินเยน
พูนกล่าวต่อว่า จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการคลัง ที่คล้ายกับ Abenomics น่าจะเป็นปัจจัยที่สนับสนุนตลาดหุ้นญี่ปุ่นโดยรวมมีโอกาสขึ้นต่อได้ โดยกลุ่มที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์ สูงสุด คือ เทคโนโลยี อวกาศ และการทหาร
พร้อมทั้งมองว่า จากแนวคิดการใช้จ่ายเงินของภาครัฐจำนวนมาก เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและเพิ่มงบประมาณการทหาร คาดว่า ส่งผลกระทบต่อตลาดตราสารหนี้แน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) อายุระยะยาวของรัฐบาลญี่ปุ่น โดยเฉพาะรุ่นอายุ 20 ปี และ 30 ปี
“ผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) รัฐบาลญี่ปุ่นอายุยาวของญี่ปุ่นจะมีความเสี่ยงปรับตัวสูงขึ้นจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและงบประมาณทหาร ขณะที่ Bond Yield อายุสั้นของญี่ปุ่นก็มีโอกาสจะเพิ่มขึ้นเช่นกัน หากธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ยจนอาจทำให้ภาวะ ‘Bear Steepening’ ดำเนินต่อเนื่อง ท่ามกลางความกังวลว่า ตลาดบอนด์ญี่ปุ่นขาดแรงซื้อไป โดยเฉพาะหลังมีรายงานว่า BOJ ชะลอการซื้อหรือลดการเข้ามาดูแลตลาด” พูนกล่าว
ทั้งนี้ Bear Steepening คือภาวะที่ Bond Yield ทั้งระยะสั้นและระยะยาวปรับตัวขึ้น แต่ Bond Yield ระยะยาวปรับตัวขึ้นมากขึ้นกว่า Bond Yield ระยะสั้น
สำหรับทิศทางค่าเงินเยน พูนมองว่า ถ้าทาคาอิจิต้องการดำเนินรอยตามอาเบะ น่าจะมีแนวคิดในการรักษาระดับดอกเบี้ยนโยบายให้ต่ำไปสักระยะหนึ่ง หรือถ้าต้องขึ้นก็น่าจะเกิดช้าหน่อย ซึ่งถือเป็นปัจจัยที่กดดันให้ค่าเงินเยนอ่อนค่า
“โดยปัจจุบัน ตลาดได้สะท้อน (Priced In) ธีมนี้ไปแล้ว เห็นได้จากค่าเงินเยนที่อ่อนค่าอย่างเห็นได้ชัด” พูนกล่าว
ทั้งนี้ USD/JPY เคลื่อนไหวอยู่ในระดับราว 151 เยนต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งนับว่าแข็งค่าขึ้นกว่า 3 35% จากช่วงต้นปี
Krungthai เตือนเยนมีทิศทางแข็งค่า แม้ ‘Takaichi Trade’ ช่วยชะลอการแข็งค่าอยู่
อย่างไรก็ตาม พูนมองว่า เงินเยนไม่น่าจะอ่อนค่าต่อเนื่องไปถึงระดับ 160 เยนต่อดอลลาร์สหรัฐได้ เนื่องจากคาดว่า BOJ เตรียมปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาได้ หลังสถานการณ์การเมืองมีเสถียรภาพและอัตราเงินเฟ้อยังสูงอยู่
อย่างไรก็ตาม พูนมองว่า ธีม ‘Takaichi Trade’ จะเป็นปัจจัยที่ชะลอการแข็งค่าของเงินเยนลงไปเล็กน้อย โดยจากเดิมที่เคยคาดว่าจะเห็นเลข 140 เยนต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นปีนี้ ก็อาจจะเห็น USD/JPY ลงมาอยู่แถว 145–147 เยนต่อดอลลาร์สหรัฐ ‘พอเป็นไปได้’
อย่างไรก็ตาม พูนกล่าวว่า มุมมองดังกล่าวยังมีความเสี่ยงจากภาวะที่บอนด์ญี่ปุ่นยังถูกขาย และตลาดยังตกใจอยู่ ดังนั้นถ้ามีกระแสเงินทุนของต่างชาติไหลออกต่อเนื่องอาจเป็นปัจจัยกดดันให้เยนอ่อนค่าได้
Krungthai แนะคนไทย Buy on Dip เงินเยน
สำหรับค่าเงินเยนเทียบกับเงินบาท (JPY/THB) ตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 21 – 21.8 บาทต่อ 100 เยน ซึ่งนับเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ก่อนลอยตัวค่าเงินในปี 1997 ซึ่งขณะนั้น JPY/THB เคยเคลื่อนไหวในระดับราว 20.5 บาทต่อ 100 เยน
พูนคาดว่า น่าจะคงอยู่ในระดับที่โซนต่ำกว่า 22 บาทต่อ 100 เยนไปอีกสักระยะ หรือจนถึงไตรมาส 2 ของปี 2026 พร้อมแนะนำว่า สำหรับผู้ต้องการเดินทางไปญี่ปุ่น การซื้อในระดับปัจจุบันที่ต่ำกว่า 22 บาทต่อ 100 เยน เป็น ‘ระดับนี้ค่อนข้างต่ำแล้ว’
“แนะนำให้ Buy on Dip ค่าเงินเยน ไม่ว่าจะเป็นเยนเทียบดอลลาร์ หรือเยนเทียบบาท เนื่องจากมองว่า ระดับนี้ค่อนข้างต่ำแล้ว ถ้าไม่ซื้อตอนนี้ รอเยนอ่อนค่าหลุด 21 บาทต่อ 100 เยน รอก็รอได้ แต่ผมมองว่า มีโอกาสกลับไปสูงกว่ามากกว่า” พูนกล่าว
“ค่าเงินเยนเทียบกับบาท จุดที่กังวลจะเป็นช่วงไตรมาส 2 ของปี 2026 ซึ่งเป็นจุดที่อาจเห็น JPY/THB อาจทะลุระดับ 22.5 บาทต่อ 100 เยนได้ เนื่องจากเงินเยนอาจทยอยแข็งค่า หาก BOJ ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ส่วนค่าเงินบาทอาจมีความเสี่ยงประเด็นการเมืองไทยในช่วงไตรมาส 2 ซึ่งเป็นช่วงเลือกตั้ง ซึ่งอาจทำให้บาทอ่อนค่าลง ขณะที่ผลการเลือกตั้งจะเป็นตัวชี้วัดสำคัญต่ออันดับความน่าเชื่อถือของประเทศ (Sovereign Credit Rating) เนื่องจากการสื่อสารของบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือยังห่วงเสถียรภาพการเมืองไทย นอกจากนี้ ช่วงไตรมาส 2 ยังเป็นช่วงที่บาทอ่อนค่าอยู่แล้ว ตามโฟลว์การจ่ายปันผลของบริษัทต่างๆ” พูนกล่าว
พูนกล่าวถึงแนวโน้มค่าเงินบาท (THB) ทั้งในระยะสั้น (ในไตรมาส 4) ว่าบาทมีโอกาส ‘อ่อนค่า’ ได้บ้าง ปัจจัยกดดันมาจากการอ่อนค่าของเยน เนื่องจากประเด็นการเมืองญี่ปุ่น และการปรับฐานของราคาทองคำ ซึ่งมีความอ่อนไหวสูงต่อค่าเงินบาท อย่างไรก็ตาม การอ่อนค่าถูกจำกัด จากแรงขายจากผู้ส่งออก และนักลงทุนที่ Short บาท ก็อาจจะทำกำไร
ขณะที่ในช่วงปลายไตรมาส 4 ถึงไตรมาส 1 ของปีหน้า บาทน่าจะทยอย ‘แข็งค่าขึ้น’ จากการเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นของการท่องเที่ยวไทย และแนวโน้มที่ดอลลาร์อาจอ่อนค่าลง หากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวลงตามที่คาด
อ้างอิง: