วันนี้ (9 กันยายน) สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เปิดเผยภายหลังหารือกับภาคเอกชนว่า วันนี้เป็นการหารือกันระหว่างสมาคมภัตตาคารไทย แพลตฟอร์มวงใน ไลน์แมน แกร็บ มาพูดคุยกันเกี่ยวกับความเห็นโครงการคนละครึ่ง ที่อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี มีแนวคิดว่าจะกลับมาใช้
ข่าวดีอย่างหนึ่งที่คิดว่าน่าจะดำเนินการได้เร็ว คือ ภาคเอกชนมีความพร้อมมากที่อยากจะช่วยเหลือในโครงการนี้ และยินดีที่จะแชร์ข้อมูลร้านอาหารให้กับกระทรวงการคลังทำฐานข้อมูล หมายความว่าคนที่ใช้แพลตฟอร์มอยู่แล้วอาจจะไม่ต้องลงทะเบียนใหม่
จากความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้น THE STANDARD WEALTH ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ ฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย และ ยอด ชินสุภัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LINE MAN Wongnai ที่จะมาร่วมแสดงความเห็นจากโครงการคนละครึ่งไปพร้อมกัน
โดย ฐนิวรรณ เริ่มต้นฉายภาพว่า สถานการณ์ธุรกิจร้านอาหารในปัจจุบันกำลังเผชิญวิกฤติหนัก จากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ทำให้ผู้บริโภคต้องรัดเข็มขัดค่าใช้จ่าย ส่งผลโดยตรงต่อพฤติกรรมการกินข้าวนอกบ้านซึ่งลดลงอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อจำนวนลูกค้าหายไป ยอดขายของผู้ประกอบการร้านอาหารกว่า 700,000 รายทั่วประเทศ โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายเล็ก ลดลงถึง 60-90% ขณะเดียวกันยังต้องเจอแรงกดดันจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นราคาวัตถุดิบ ค่าแรง และค่าเช่าพื้นที่ ทำให้การประคองธุรกิจยิ่งลำบากมากขึ้น
ที่ผ่านมา สมาคมภัตตาคารไทยในฐานะตัวแทนผู้ประกอบการร้านอาหาร ได้รวบรวมปัญหาและยื่นข้อเสนอไปยังรัฐบาลก่อนหน้านี้หลายครั้ง แต่ยังไม่ได้รับการตอบสนองอย่างเป็นรูปธรรม อย่างไรก็ตาม ในช่วงเดียวกัน สมาคมฯ ได้หารือร่วมกับผู้บริหาร LINE MAN Wongnai เพื่อหาทางออกในการช่วยพยุงธุรกิจร้านอาหาร และหนึ่งในแนวทางที่เห็นตรงกันคือ การฟื้นโครงการ ‘คนละครึ่ง’ ซึ่งเคยพิสูจน์แล้วว่าสามารถกระตุ้นกำลังซื้อของประชาชนและสร้างบรรยากาศทางเศรษฐกิจให้คึกคักขึ้นจริงๆ
สุดท้ายแล้วความหวังเริ่มกลับมาอีกครั้ง เมื่อรัฐบาลชุดใหม่หยิบยกโครงการคนละครึ่งมาปัดฝุ่นใช้อีกครั้ง โดยไม่เพียงแต่ประชาชนส่วนใหญ่จะเห็นด้วย แต่ผู้ประกอบการร้านอาหารก็ตั้งความหวังไว้สูง เนื่องจากเชื่อว่าจะช่วยเพิ่มการจับจ่ายได้จริง
โครงการ ‘คนละครึ่ง’ ทางรอดของผู้ประกอบการไทย
ล่าสุดวันนี้ (9 กันยายน) สมาคมภัตตาคารไทยได้เข้าหารือกับพรรคภูมิใจไทย เพื่อเสนอแนวทางปรับปรุงโครงการ โดยเสนอให้เพิ่มวงเงินการใช้จ่ายต่อวันเป็น 200 บาท จากเดิมที่กำหนดไว้ 150 บาทต่อวัน พร้อมยืนยันในฝั่งผู้ประกอบการว่าการเข้าร่วมโครงการจะไม่ปรับขึ้นราคาอาหารแน่นอน
นอกจากนี้ สมาคมฯ ยังฝากข้อเสนอสำคัญถึงรัฐบาลว่า ไม่ควรกำหนดเงื่อนไขที่ซับซ้อนเกินไป ทุกคนควรมีสิทธิเข้าร่วมใช้งานได้อย่างเท่าเทียม ไม่ใช่จำกัดเพียงกลุ่มเปราะบางเท่านั้น อีกทั้งยังควรใช้ระบบเดิมที่เคยดำเนินการไว้แล้ว เพื่อให้สานต่อโครงการได้รวดเร็วและไม่สะดุด
ขณะเดียวกันยังอยากให้ภาครัฐสร้างความมั่นใจแก่ผู้ประกอบการว่าการเข้าร่วมโครงการจะไม่ทำให้ถูกเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง เนื่องจากในอดีตผู้ประกอบการจำนวนไม่น้อยกังวลเรื่องนี้อย่างมาก จนเป็นอุปสรรคต่อการเข้าร่วมโครงการ ซึ่งพรรคภูมิใจไทยก็ได้รับเรื่องดังกล่าวไปพิจารณาแล้ว
ฐนิวรรณ ทิ้งท้ายว่า ผู้ประกอบการร้านอาหารพร้อมให้ความร่วมมือกับนโยบายของภาครัฐเต็มที่ หากโครงการคนละครึ่งกลับมาในรูปแบบที่เหมาะสมและเข้าถึงได้จริง จะไม่เพียงช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ประกอบการเท่านั้น แต่ยังจะช่วยฟื้นฟูบรรยากาศการใช้จ่ายและขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในภาพรวมให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
มั่นใจช่วยร้านเล็กเพิ่มยอดขายเฉลี่ย 1.7–4 เท่า
เช่นเดียวกับ ยอด ชินสุภัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LINE MAN Wongnai ฉายภาพให้เห็นว่า ตั้งแต่ต้นปี 2568 ธุรกิจร้านอาหารเผชิญแรงกดดันจากกำลังซื้อผู้บริโภคที่หดตัว โดยเฉพาะในไตรมาส 2 ปีนี้ ยอดขายเฉลี่ยของร้านอาหารทั่วประเทศปรับตัวลดลง 14% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
จึงเห็นด้วยที่รัฐบาลนำโครงการ ‘คนละครึ่ง’ กลับมา โดยมองว่าเป็นมาตรการที่สามารถตอบโจทย์ทั้งในมิติการกระตุ้นเศรษฐกิจได้นานกว่าการแจกเงินสดที่อาจจบลงเพียงการใช้ครั้งเดียว รวมถึงมิติที่จะช่วยเรื่องค่าครองชีพผู้บริโภคได้
ที่ผ่านมา LINE MAN Wongnai ได้เคยเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งมาแล้ว โดยมีร้านค้าที่เข้าร่วมมากกว่า 50,000 ร้าน และในช่วงที่มีโครงการนี้พบว่ายอดขายของร้านอาหารรายเล็กเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 1 7–4 เท่า และหลังจากสิ้นสุดลง ร้านอาหารหลายร้านก็ยังสามารถรักษาระดับยอดขายได้ต่อเนื่อง สะท้อนว่าโครงการดังกล่าวช่วยสร้างฐานลูกค้าประจำและพฤติกรรมการบริโภคที่ยั่งยืนได้
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LINE MAN Wongnai กล่าวต่อไปว่า หากรัฐบาลใหม่มีกรอบเวลาการทำงานเพียง 4 เดือนก่อนยุบสภา การนำระบบไอทีที่มีอยู่เดิมจากโครงการคนละครึ่งครั้งก่อนกลับมาใช้ น่าจะเป็นทางเลือกที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากกว่าการไปสร้างใหม่ ส่วนปัญหาด้านการยืนยันตัวตนของร้านค้าก็สามารถใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยแก้ไขได้
ทั้งนี้ LINE MAN Wongnai ได้เก็บข้อมูลที่เคยรวบรวมไว้มาจากโครงการคนละครึ่งครั้งก่อน พร้อมได้อัปเดตจำนวนผู้ประกอบการร้านอาหารไทยมาอย่างต่อเนื่อง ถ้ารัฐบาลต้องการอยากให้ช่วย ก็พร้อมจะสนับสนุนโครงการนี้
นอกจากข้อเสนอระยะสั้นแล้ว ยังต้องการให้รัฐบาลสนับสนุนโครงสร้างระยะยาว โดยเฉพาะการเติบโตของบริษัทขนาดใหญ่ที่มีแผนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ผ่านการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไป (IPO) เนื่องจากตลาดหลักทรัพย์ในต่างประเทศมีข้อเสนอที่จูงใจกว่า ทั้งในแง่สิทธิประโยชน์ด้านภาษีและความยืดหยุ่นของกฎหมาย ซึ่งหากไทยสามารถพัฒนาให้เอื้อต่อการระดมทุนได้มากขึ้น ก็จะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจไทยได้ระยะยาว
เช่นเดียวกับ จันต์สุดา ธนานิตยะอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ แกร็บ ประเทศไทย กล่าวว่า Grab ร่วมเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการภาคเอกชนที่เข้าหารือกับพรรคภูมิใจไทยเมื่อเช้าที่ผ่านมา โดยพร้อมให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่หากมีการนำโครงการ ‘คนละครึ่ง’ กลับมาอีกครั้งเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบการร้านอาหารทั้งร้านขนาดเล็กและขนาดกลางที่น่าจะได้รับประโยชน์เป็นอย่างมาก
ทั้งนี้ จากฐานข้อมูลที่ Grab เคยสนับสนุนโครงการเมื่อสามปีที่แล้วพบว่า โครงการนี้สามารถสร้างผลเชิงบวกที่เป็นรูปธรรม โดยร้านอาหารที่เข้าร่วมโครงการในช่วงที่ผ่านมามียอดขายเติบโตขึ้นสูงสุดถึง 5 เท่า
หากรัฐบาลประกาศโครงการอย่างเป็นทางการ Grab พร้อมร่วมผลักดันทั้งในรูปแบบของแคมเปญการตลาด การให้ส่วนลด หรือโปรแกรมแพ็กเกจเพื่อจูงใจร้านค้าต่างๆ
ด้าน ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญความผันผวนและเปราะบาง จากทั้งภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว การค้าและการลงทุนที่มีข้อจำกัด
“ด้วยแรงกดดันจากหนี้ครัวเรือนและต้นทุนภาคธุรกิจที่สูงขึ้น เอกชนพร้อมสนับสนุนการทำงานของรัฐบาลในมาตรการเชิงรุก โดยเฉพาะโครงการ “คนละครึ่ง” ที่ช่วยกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ”
รายงานข่าวระบุอีกว่า กลุ่มสมาคมการท่องเที่ยวหลายแห่ง สนับสนุนโครงการ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวช่วงโลว์ซีซัน
รัฐบาลชี้เงิน-เวลาจำกัด อาจได้ไม่ถึง 200 บาทตามเอกชนเสนอ แต่ขยายสิทธิ์เพิ่มแน่
อย่างไรก็ตาม รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ยังย้ำว่า ได้รับฟังปัญหาของโครงการในช่วงที่ผ่านมาแล้ว เช่น หลักเกณฑ์เงื่อนไขที่มากไป ระยะเวลาการใช้จะใช้อย่างไรให้เหมาะสม วงเงินอย่างไรที่จะเหมาะสม ซึ่งภาคเอกชนเสนอ 200 บาทต่อวัน จากเดิมที่โครงการคนละครึ่งให้ 150 บาทต่อวัน
แต่ด้วยภาวะที่เราเป็นรัฐบาลช่วงรอยต่อ เงินที่เหลือในโครงการมีไม่มาก และนโยบายของนายกฯ จะไม่มีการกู้เพิ่ม เพราะหนี้สาธารณะค่อนข้างสูง ทำให้ทรัพยากรเงิน ทรัพยากรเวลามีจำกัด ก็อาจจะได้ไม่ถึงตามที่ท่านเสนอมา แต่ยืนยันว่าไม่น่าเกลียดสามารถที่จะขับเคลื่อนได้แน่นอน และครั้งนี้เราจะขยายสิทธิ์เพิ่มจำนวนด้วย แต่ก็จะนำไปหารือให้ท่านนายกฯ ลองพิจารณาดูว่าจะหาเงินมาจากไหน