กรมศุลกากรเพิ่งประกาศเตรียมเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากแพลตฟอร์มออนไลน์ (e-commerce) ตั้งแต่ 1 บาทแรก จากเดิมที่ยกเว้นให้สินค้านำเข้าที่มีราคาต่ำกว่า 1,500 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป โดยมีจุดประสงค์หลักเพื่อสร้างความเป็นธรรมและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้ SME ไทย ท่ามกลางภาวะที่สินค้าราคาถูกจากต่างประเทศทะลักเข้าไทย พร้อมคาดว่า จะเพิ่มรายได้เข้ารัฐ 3,000 ล้านบาทต่อปี
เจาะเหตุผลทำไม ‘ศุลกากร’ เลิกเก็บภาษี De minimis
โดยพันธ์ทอง ลอยกุลอนันท์ อธิบดีกรมศุลกากร ให้สัมภาษณ์ในรายการ Morning Wealth โดยเปิดเผยว่า มาตรการดังกล่าวว่า เป็นไปตามนโยบายช่วยเหลือผู้ประกอบการ SME ของ อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่ต้องการช่วยเหลือผู้ประกอบการไทย โดยสั่งการมายังศุลกากร ให้หา “มาตรการช่วย SME ไทยให้สามารถแข่งขันกับสินค้านำเข้า ที่นำเข้าโดยตรงจากต่างประเทศได้”
พันธ์ทองยังอธิบายว่า แต่เดิม ไทยไม่มีการเก็บภาษีสำหรับสินค้ามูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาท ไม่ว่าจะเป็นอากร ศุลกากร หรือภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เพราะผู้คนเพียงส่งของชิ้นเล็กๆ แก่กันไปมา และอาจเป็นของขวัญในบางครั้ง ซึ่งประเทศอื่นๆ ในโลก ล้วนยกเว้นภาษีในลักษณะเดียวกันนี้ เรียกว่า De minimis
อย่างไรก็ตาม ด้วยการเติบโตอย่างมหาศาลของ E-Commerce ที่มีการค้าขายเพิ่มขึ้นจากหลักแสนชิ้นต่อปี มาเป็น 100 ล้านชิ้นต่อปีในปัจจุบัน ทำให้การขายสินค้าจากผู้ประกอบการต่างประเทศสามารถส่งเข้ามาในประเทศไทยได้เลย
“ดังนั้น การคงภาษี De minimis ไว้จึงทำให้ไม่มีผู้ประกอบการในไทยรายใดได้รับประโยชน์เลย เนื่องจากสินค้าสามารถผลิตโดยตรงจากต่างประเทศ และส่งตรงถึงมือผู้บริโภคได้เลยโดยไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง (ยี่ปั๊ว) และร้านค้าปลีก (ซาปั๊ว)” พันธ์ทองกล่าว
แม้ในปีที่ผ่านมา กรมศุลกากรจะหันมาเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จากสินค้านำเข้าชิ้นเล็กแล้วก็ตาม แต่ด้วยอัตราเพียง 7% ทำให้ราคาสินค้านำเข้าบนแพลตฟอร์มยังคงมีราคา ‘ถูกกว่า’ อยู่ จึงเป็นเหตุผลให้กรมศุลกากรออกมาตรการ เพื่อสร้างการแข่งขันที่เป็นธรรมระหว่างผู้ค้าบนแพลตฟอร์มที่อยู่ในต่างประเทศ กับผู้ประกอบการไทยที่เสียภาษีถูกต้อง
สำหรับผลกระทบต่อผู้บริโภค พันธ์ทองมองว่า แม้ผู้บริโภคอาจจะได้รับผลกระทบจากราคาสินค้าที่ปรับสูงขึ้น แต่ผู้ประกอบการไทยจะสามารถขายสินค้าได้มากขึ้น เนื่องจากราคาสินค้าจากต่างประเทศจะใกล้เคียงกันมากขึ้น ทำให้เกิดการแข่งขันที่เท่าเทียมระหว่างผู้ค้าออนไลน์ในประเทศและต่างประเทศ
นอกจากนี้ ขณะเดียวกัน สินค้าในประเทศยังมีข้อได้เปรียบด้านระยะเวลารอสินค้า โดยใช้เวลาเพียง 1 วัน ขณะที่สินค้านำเข้า ผู้บริโภคต้องรอสินค้าราว 3-4 วัน
เปิดแนวทางเก็บภาษีสินค้านำเข้าที่มีราคาต่ำกว่า 1,500 บาท
พันธ์ทอง เปิดเผยต่อว่า การใช้แนวทางภาษีสินค้านำเข้าที่มีราคาต่ำกว่า 1,500 บาท ในช่วงแรก จะเก็บภาษีในอัตราตามพิกัดของสินค้าชนิดนั้นๆ เช่น 0%, 5%, 10% และ 25% เป็นต้น ตามกฎหมายปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม ในระยะต่อไป อธิบดีกรมศุลกากร เปิดเผยว่า อาจจะเก็บในอัตราเดียวกัน (Flat Rate) กับสินค้าทุกรายการ เช่น 10% หรือ 15% กับสินค้าทั้งหมด
โดยมีวิธีการคือ จะให้แพลตฟอร์ม E-Commerce สำแดงมาว่า สินค้าที่นำเข้ามามีอะไรบ้าง และมีมูลค่าเท่าไหร่ และถูกเรียกเก็บอากรเท่าไร จากนั้น ศุลกากรจะสุ่มตรวจเช็ก ตรวจสอบความตรงกันของข้อมูล (Reconcile) กับของที่เข้ามายังประเทศเรา มาที่สนามบิน มาที่ชายแดนระหว่างนำเข้า
‘ศุลกากร’ เผยรายการสินค้าต่ำกว่า 1,500 บาท ที่เตรียมโดนเก็บภาษีเพิ่ม
พันธ์ทองกล่าวต่อว่า สินค้าต่ำกว่า 1,500 บาทส่วนใหญ่ที่นำเข้ามาในประเทศไทย มีประเภทหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น สินค้าแฟชั่น เสื้อผ้า กระเป๋า เคสโทรศัพท์ ของทำด้วยพลาสติก
คาดเลิกเก็บ De minimis เพิ่มรายได้ภาษีราว 3,000 ล้านบาทต่อปี
พร้อมทั้งระบุว่า จากการประเมินเบื้องต้น โดยอิงจากมูลค่าการนำเข้าสินค้าต่ำกว่า 1,500 บาท ของปี 2567 ซึ่งอยู่ที่ 30,000 ล้านบาท เมื่อสมมติค่าเฉลี่ยพิกัดศุลกากรของสินค้าไว้ที่ 10% อย่างน้อย คาดว่า รัฐจะมีรายได้ศุลกากร 3,000 ล้านบาท บนสมมติฐาน การบริโภคคงที่ อย่างไรก็ตาม เมื่อดูแนวโน้ม 5 ปีย้อนหลัง พันธ์ทองชี้ว่า การนำเข้าสินค้าชิ้นเล็กมีแนวโน้มเติบโตขึ้นทุกปี
เปิดผลหารือแพลตฟอร์มออนไลน์
นอกจากนี้ พันธ์ทอง ยังกล่าวถึงผลการหารือกับแพลตฟอร์ม E-Commerce รายใหญ่ เช่น Shopee และ Lazada ว่า แพลตฟอร์มต่างๆ ได้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี โดยกรมศุลกากรได้มีข้อเสนอไปหลักๆ ดังนี้
1. ขอให้ยุติการขายสินค้าที่ห้ามนำเข้า หรือต้องใช้ใบอนุญาตนำเข้า หรือสินค้าผิดกฎหมาย เช่น สินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ และบุหรี่ไฟฟ้า เข้ามาในประเทศไทย โดยให้ดำเนินการในลักษณะเดียวกับ Amazon ที่มีการระบุว่าสินค้าใดที่ “ไม่สามารถจัดส่งมายังประเทศไทยได้” (Not Ship to Thailand)
2. ขอข้อมูลจากแพลตฟอร์มโดยตรง เพื่อให้ทราบจำนวนสินค้าที่ส่งเข้ามา มูลค่าการนำเข้า และสามารถตรวจสอบความสอดคล้องกับข้อมูลที่ผู้ขนส่งสำแดงไว้ (Reconcile) ซึ่งจะช่วยเพิ่มความโปร่งใสในระบบ
พันธ์ทองยังอธิบายว่า “ปีที่ผ่านมา กรมศุลกากรบุหรี่ไฟฟ้าได้กว่า 5 ล้านชิ้น ของละเมิดลิขสิทธิ์กว่า 5 แสนชิ้น และสินค้าที่ไม่มีใบอนุญาต มอก. อีกเป็นล้านชิ้น ผมจึงมีแนวคิดว่า ถ้าไม่มีการขายในแพลตฟอร์ม ก็จะไม่เกิดการสำแดงเท็จและการลักลอบนำเข้าตามมา เพื่อที่ให้กรมศุลกากรไปโฟกัสกับสินค้าที่เป็นอันตรายกว่าได้เช่น ยาเสพติด”
พันธ์ทองระบุเพิ่มเติมว่า การแก้ปัญหาจะต้องเริ่มจากต้นทาง โดยกรมศุลกากรได้ขอความร่วมมือให้แพลตฟอร์มระงับการขายสินค้าควบคุมมาประเทศไทยจนกว่าผู้ประกอบการรายนั้นจะได้รับใบอนุญาตที่ถูกต้องจากหน่วยงานไทย เช่น มอก. หรือ อย. เพื่อป้องกันการสำแดงเท็จและลักลอบนำเข้า ซึ่งจะช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถมุ่งเน้นการตรวจสอบสินค้าประเภทอื่น เช่น ยาเสพติด ได้มากขึ้น
KResearch มองยกเลิก ‘De minimis’ มีแนวโน้มทำให้สินค้าแพงขึ้น
ณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด (KResearch) กล่าวกับ THE STANDARD WEALTH โดยระบุว่า การยกเลิกภาษี De Minimis ซึ่งจะเปิดทางให้กรมศุลกากรสามารถเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากแพลตฟอร์มออนไลน์ ตั้งแต่ 1 บาทแรก จากเดิมที่ยกเว้นให้สินค้านำเข้าที่มีราคาต่ำกว่า 1,500 บาทนั้น มีแนวโน้มที่จะทำให้ราคาสินค้า ที่ซื้อขายบนแพลตฟอร์มอาจ ‘แพงขึ้น’ อย่างไรก็ตาม ความเร็วและขนาดในการปรับขึ้นราคาขึ้นอยู่กับว่าผู้นำเข้าจะสามารถรับภาระต้นทุนไว้ได้นานแค่ไหน นอกจากนี้ ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยหลักๆ ดังนี้
(1) อัตราภาษีนำเข้าที่สินค้าแต่ละชนิดจะโดนเรียกเก็บ
(2) ข้อตกลงทางการค้า (Free Trade Agreement: FTA) ที่ไทยมีกับประเทศต่างๆ ด้วย ตัวอย่างเช่น สินค้านำเข้าจากประเทศจีนจะมีอัตราเป็น 0% อยู่แล้ว เนื่องจาก ไทยมีกรอบ FTA China-ASEAN ร่วมกับจีน ดังนั้น หากสินค้านำเข้ารายการใดก็ตาม ที่ไทยไม่มี FTA ด้วยหรือไม่มี Certificate of Origin ก็จะถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้า ร่วมกับ VAT อีก 7%
(3) กลไกการส่งผ่านราคา จากผู้นำเข้าหรือผู้ขาย ซึ่งเป็นผู้แบกรับภาระภาษีที่เพิ่มขึ้นไปยังผู้บริโภค โดยณัฐพรมองว่า การส่งผ่านภาระภาษีนี้จะมากน้อยก็ขึ้นอยู่กับต้นทุนของสินค้า และการแข่งขันในตลาดด้วย เนื่องจากแต่ละรายการสินค้าก็มีโครงสร้างราคาที่แตกต่างกันไป
ดังนั้น หากสินค้าที่นำเข้าจากต่างประเทศยังมีราคา ‘ถูกกว่า’ สินค้าที่ผลิตในประเทศอย่างมาก ผู้นำเข้ามีโอกาสที่จะผลักภาระภาษีที่เพิ่มขึ้นนี้ไปให้ผู้บริโภคได้เต็มที่ ตัวอย่างเช่น “สมมติว่า ถ้าเสื้อผ้านำเข้าจากจีน มีราคา 100 บาทต่อหน่วย แต่สินค้าใกล้เคียงกันที่มีการผลิตและขายในไทย มีราคา 200 บาทต่อหน่วย ในกรณีเช่นนี้ ผู้นำเข้าสามารถผลักภาระภาษีให้ผู้บริโภคได้เต็มที่ และยังคงรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันได้ตามเดิม” ณัฐพรกล่าว
สะท้อนว่า หากผู้บริโภคมีทางเลือกอื่น เช่น สินค้าในประเทศคุณภาพดีกว่าและส่วนต่างราคาไม่มาก คนก็อาจจะเลือกซื้อสินค้าในประเทศแทน
ประเทศคู่ค้ารายใดของไทยจะได้รับผลกระทบมากที่สุด?
ณัฐพรกล่าวว่า เมื่อพิจารณาว่า ประเทศคู่ค้ารายใดของไทยจะได้รับผลกระทบมากที่สุด ก็น่าจะเป็นประเทศที่ส่งออกสินค้าพวกชิ้นเล็กๆ ราคาต่ำๆ มาไทยจำนวนมาก เช่น จีน และฮ่องกง ซึ่งถ้าหากดูตัวเลขการนำเข้าของไทยแต่ละรายการ ก็จะเห็นเลยว่า ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ (Home Appliance) เครื่องใช้ไฟฟ้า และเสื้อผ้า รองเท้า ล้วนมีการนำเข้าจากจีนในสัดส่วนที่ค่อนข้างสูง
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากไทย (อาเซียน) มี FTA กับจีน ดังนั้นหากเป็นการนำเข้าทางเรือ หรือการนำเข้าเพื่อใช้ในอุตสาหกรรม ซึ่งต้องมี Certificate of Origin เพื่อยืนยันแหล่งกำเนิดสินค้าว่า มาจากประเทศจีน ซึ่งส่วนนี้จะเป็นสินค้าที่ผ่านระบบศุลกากรเต็มรูปแบบ จะได้การยกเว้นภาษี (Waive) ภายใต้กรอบ FTA
ขณะที่ สินค้าที่มีการซื้อขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ไม่แน่ใจว่าจะมีเอกสารยืนยันเหมือนกันหรือไม่ หากไม่มีเอกสารยืนยัน ก็จะถูกเรียกเก็บภาษีตามอัตรา MFN
ขณะที่ พันธ์ทอง ลอยกุลอนันท์ อธิบดีกรมศุลกากร อธิบายเพิ่มเติมว่า แม้ไทยจะมี FTA กับหลายประเทศ แต่สินค้าในรูปแบบพัสดุ (Parcel) จะไม่ได้รับการเว้นภาษีในส่วนของ FTA เพราะไม่มีใบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Certificate of Origin) จากประเทศคู่ค้า
มาตรการนี้ช่วยสกัดการทะลักของสินค้าชิ้นเล็กๆ ได้หรือไม่?
ณัฐพรมองว่า การเคลื่อนไหวล่าสุดนี้ ‘พอช่วยลดการทะลักของสินค้าชิ้นเล็กๆ ได้’ เพราะว่า สินค้าชิ้นเล็กที่ส่งมาทาง E-Commerce อาจไม่มีกระบวนการ Certificate of Origin เนื่องจากไม่คุ้มที่จะทำ เพราะสินค้าราคาถูกมาก แต่หลังจากนี้ เมื่อมาตรการนี้มีผลก็ต้องโดนภาษีแล้ว
อย่างไรก็ตาม ณัฐพรมองว่า “จีนยังมีจุดแข็งตรงที่สามารถทำราคาได้ถูก และมี Economy of Scale แบบที่ไม่มีประเทศใดสามารถทำได้ ดังนั้น ต่อให้ถูกเรียกเก็บภาษี แต่ถ้าสินค้ามีต้นทุนต่ำจริงๆ จีนก็ยังสามารถแข่งขันได้อยู่ และอาจไม่ได้เสียเปรียบขนาดนั้น ขึ้นอยู่กับต้นทุนและคุณภาพ”
มาตรการนี้เป็นการตอบโต้การทุ่มตลาดหรือไม่?
ณัฐพร พร้อมทั้งกล่าวว่า การยกเลิก de minimis ไม่ใช่มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-dumping) เพราะมาตรการ AD มุ่งเป้าไปที่บางประเทศหรือบางบริษัทโดยเฉพาะที่ขายสินค้าราคาต่ำกว่าต้นทุน แต่การเก็บภาษีตามกฎ de minimis นี้ ใช้กับทุกประเทศ (apply to all)
นอกจากนี้ ความเคลื่อนไหวดังกล่าวก็ไม่ขัดหลักการ MFN (Most Favored Nation) ขององค์กรการค้าโลก (WTO) ที่ว่าด้วยการไม่เลือกปฏิบัติเช่นกัน เนื่องจาก ไทยจะเก็บภาษีแบบเท่าเทียม ไม่ว่าจะนำเข้าจากส่วนใดในโลก ก็จะเจอกฎแบบเดียวกันหมด
เชื่อช่วยให้ผู้ประกอบการไทยแข่งขันอย่างเป็นธรรมมากขึ้น
ณัฐพร กล่าวว่า อย่างน้อยๆ มาตรการนี้ก็เป็นความพยายามที่จะทำให้การแข่งขันอยู่บนสนามแข่งขันที่เท่าเทียมกัน (Level of Playing Field) หรือมีการแข่งขันที่เป็นธรรมมากขึ้น ซึ่งช่วยให้ผู้ประกอบการไทยหายใจคล่องขึ้น
อย่างไรก็ตาม ณัฐพร มองว่าต้นทุนการผลิตของผู้ประกอบการไทยจะไม่เปลี่ยนแปลง ขณะที่สินค้าที่ผู้ประกอบการไทยแข่งด้วยจะมีต้นทุนเพิ่มขึ้น
สำหรับผลต่อการจ้างงาน ณัฐพรกล่าวว่า ไกลเกินไปที่จะประเมินได้อย่างชัดเจน เนื่องจากมีหลายปัจจัย (Factor) ให้ต้องพิจารณา ทั้งราคา และการแข่งขัน ซึ่งหากสินค้านำเข้าบางรายการยังมีราคาถูกอยู่ แม้จะมีการส่งผ่านภาระภาษีไปยังผู้บริโภคแล้ว ก็จะไม่ได้ช่วยภาคการผลิตมากนัก อย่างไรก็ตาม อย่างน้อยการแข่งขันที่เท่าเทียมกัน ก็ช่วยให้ผู้ประกอบการไทย ยังพอหายใจหายคอคล่องขึ้น
Shopee พร้อมหนุนกรมศุลกากร เผยผู้ประกอบการส่วนใหญ่เป็นคนไทย!
Shopee ประเทศไทย เปิดเผยกับ THE STANDARD WEALTH ว่า จะมุ่งสนับสนุนผู้ประกอบการขนาดเล็กของไทยอย่างต่อเนื่อง โดยสร้างระบบนิเวศดิจิทัลที่ช่วยเสริมศักยภาพให้กับผู้ประกอบการรายย่อย ขนาดเล็ก และขนาดกลาง (MSMEs) ในประเทศให้สามารถเติบโตบนโลกออนไลน์ได้อย่างยั่งยืน เนื่องจากผู้ขายส่วนใหญ่บนแพลตฟอร์มของ Shopee เป็นผู้ประกอบการไทยในกลุ่ม MSMEs
Shopee กล่าวย้ำอีกว่า จะสนับสนุนนโยบายของภาครัฐในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจในประเทศ รวมถึงการดำเนินมาตรการจัดเก็บภาษีนำเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สำหรับการสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศ ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นร่วมกันระหว่าง Shopee และภาครัฐในการส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจภายในประเทศ ผ่านความร่วมมือและการดำเนินงานที่สอดคล้องกับกฎระเบียบ
Shopee ยังคงให้ความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับกรมศุลกากร เพื่อให้การดำเนินมาตรการดังกล่าวบนแพลตฟอร์มเป็นไปอย่างราบรื่นและทันเวลา
“เรามองว่านโยบายนี้เป็น ‘โอกาส’ ให้ผู้ขายไทยมีความสามารถแข่งขันเพิ่มขึ้น และเรากำลังขยายโครงการพัฒนาผู้ขาย (Seller Development Programs) เพื่อช่วยผู้ผลิตและผู้ประกอบการท้องถิ่นให้สามารถแข่งขันและเติบโตได้อย่างยั่งยืน” Shopee ระบุ
Shopee กล่าวอีกว่า โดยที่ผ่านมาเราสนับสนุน SMEs ไทยผ่านโครงการต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ได้แก่
- โปรแกรมอัปสกิลผู้ขายไทย (เวิร์กช็อปและคอร์สออนไลน์ด้านการตั้งราคา ภาษี / นโยบาย / การตลาดเนื้อหา)
- การผลักดันแคมเปญสินค้าไทย โดยร่วมกับหน่วยงานรัฐต่างๆ ตลอดทั้งปี เพื่อเพิ่มการมองเห็นสินค้าไทยบนแพลตฟอร์ม
- การยกระดับความเชื่อมั่นสินค้าไทย โดยร่วมมือกับหน่วยงาน เช่น สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ในการกำกับคุณภาพ มาตรฐาน และพัฒนาระบบตรวจจับสินค้าละเมิด
- โอกาสส่งออกผ่านโปรแกรม Shopee Global Sales (ชื่อเดิม Shopee International Platform) ซึ่งช่วยให้ร้านค้าในไทยสามารถส่งออกสินค้าไปยังลูกค้าต่างประเทศได้สะดวกขึ้น โดย Shopee ช่วยสร้างและดูแลร้านค้า บริหารจัดการคำสั่งซื้อ การจัดส่งสินค้า รวมถึงสนับสนุน การใช้เครื่องมือ และฟีเจอร์การตลาด บนแพลตฟอร์มช้อปปี้ในต่างประเทศ เพื่อขยายตลาดให้ผู้ประกอบการไทย


