×

‘สงครามทุน’ ปะทุ? ทรัมป์อาจสั่งเก็บภาษีนักลงทุนต่างชาติเพิ่ม รับปันผลหุ้นสหรัฐฯ อาจเสียภาษี 20%

04.06.2025
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

  • ‘มาตรา 899 (Section 899)’ ซึ่งเสนอให้จัดเก็บภาษีนักลงทุนต่างชาติในสหรัฐฯ อาจจุดชนวน ‘สงครามทุน (Capital War)’
  • สาระสำคัญคือ การอนุญาตให้รัฐบาลสหรัฐฯ สามารถกำหนดภาระภาษีแบบขั้นบันได (Progressive Tax) สูงสุดถึง 20%
  • มาตรการนี้อาจช่วยให้รัฐบาลจัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้นได้ 1.16 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในระยะเวลา 10 ปี โดยอ้างอิงจากการประมาณการของคณะกรรมาธิการร่วมด้านการจัดเก็บภาษี (Joint Committee on Taxation) อย่างไรก็ตาม จากการคำนวณเดียวกัน คาดว่ารายได้จากส่วนนี้จะเกือบคงที่ในปี 2032
  • จอร์จ ซาราเวลอส หัวหน้าฝ่ายวิจัยอัตราแลกเปลี่ยนระดับโลกของ Deutsche Bank มองว่า มาตรการนี้คือการ “เปลี่ยนตลาดทุนสหรัฐฯ ให้กลายเป็นอาวุธและใช้งานผ่านการทำให้เป็นกฎหมาย”
  • มทินา วัชรวราทร ผู้บริหารฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บลจ.กสิกรไทย มองว่า “หากหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลงจากประเด็นนี้อาจเป็นโอกาสในการลงทุน เพราะปัจจุบันทางเลือกในการลงทุนอาจไม่ได้มีมาก และหุ้นสหรัฐฯ ยังเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ”

ท่ามกลางความตึงเครียดจากสงครามการค้าที่ยังไม่คลี่คลาย ตลาดการเงินโลกกำลังเผชิญกับความกังวลระลอกใหม่จากความพยายามของสหรัฐอเมริกาในการ ‘ใช้มาตรการทางภาษี’ ผ่านร่างกฎหมายงบประมาณฉบับใหญ่ (One Big Beautiful Bill Act) ของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่มีบทบัญญัติสำคัญอย่าง ‘มาตรา 899’ (Section 899) ซึ่งเสนอให้จัดเก็บภาษีนักลงทุนต่างชาติในสหรัฐฯ

 

นักวิเคราะห์และวาณิชธนากรชั้นนำจากวอลล์สตรีทออกมาเตือนว่า หากกฎหมายนี้ผ่านการอนุมัติ อาจเป็นการจุดชนวน ‘สงครามทุน’ (Capital War) ที่ซ้ำเติมสงครามการค้า และสั่นคลอนความน่าสนใจของสินทรัพย์สหรัฐฯ โดยเฉพาะพันธบัตรรัฐบาล และค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอย่างรุนแรง

 

‘Section 899’ คืออะไร? ทำไมนักลงทุนทั่วโลกต้องจับตา

 

ร่างกฎหมายที่ถูกขนานนามว่า ‘One Big Beautiful Bill Act’ ซึ่งผ่านการอนุมัติจากสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และกำลังรอการพิจารณาจากวุฒิสภา มีบทบัญญัติสำคัญในมาตรา 899 ที่เสนอให้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายทศวรรษต่อการจัดเก็บภาษีจากเงินทุนต่างชาติในสหรัฐฯ

 

สาระสำคัญคือ การอนุญาตให้รัฐบาลสหรัฐฯ สามารถกำหนดภาระภาษีแบบขั้นบันได (Progressive Tax) สูงสุดถึง 20% ต่อรายได้เชิงรับ (Passive Income) ของนักลงทุนต่างชาติ เช่น เงินปันผล และค่าสิทธิ โดยผู้ที่จะได้รับผลกระทบคือ นิติบุคคลอย่างกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ (Sovereign Funds), บริษัทต่างชาติที่มีธุรกิจในสหรัฐฯ หรือบุคคลธรรมดาจากประเทศที่ถูกมองว่ามีการเก็บภาษีที่ไม่เป็นธรรมต่อบริษัทอเมริกัน เช่น ภาษีบริการดิจิทัล (Digital Service Taxes: DSTs) ที่หลายประเทศในยุโรป (เช่น ฝรั่งเศสเก็บ 3%, เยอรมนีพิจารณา 10%) บังคับใช้กับรายได้ของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ อย่าง Google, Amazon, Facebook และ Apple

 

หากร่างกฎหมายนี้ผ่านการอนุมัติจากวุฒิสภาด้วย สำนักงานงบประมาณรัฐสภา (CBO) ประเมินว่า มาตรการนี้อาจช่วยให้รัฐบาลจัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้นได้ 1.16 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในระยะเวลา 10 ปี โดยอ้างอิงจากการประมาณการของคณะกรรมาธิการร่วมด้านการจัดเก็บภาษี (Joint Committee on Taxation) อย่างไรก็ตาม จากการคำนวณเดียวกัน คาดว่ารายได้จากส่วนนี้จะเกือบคงที่ในปี 2032
จอร์จ ซาราเวลอส หัวหน้าฝ่ายวิจัยอัตราแลกเปลี่ยนระดับโลกของ Deutsche Bank เป็นหนึ่งในคนแรกๆ ที่ออกมาส่งเสียงเตือน โดยระบุในบทวิเคราะห์เมื่อสัปดาห์ก่อนว่า “เรามองว่ากฎหมายนี้เป็นการเปิดช่องให้รัฐบาลสหรัฐฯ สามารถเปลี่ยนสงครามการค้าให้กลายเป็นสงครามทุนได้ หากต้องการ”

 

พร้อมเสริมว่า มาตรา 899 ท้าทายธรรมชาติที่เปิดกว้างของตลาดทุนสหรัฐฯ โดยใช้การเก็บภาษีจากการถือครองสินทรัพย์สหรัฐฯ ของต่างชาติเป็นเครื่องมือต่อรองเพื่อบรรลุเป้าหมายทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ซึ่งเขาเรียกว่าเป็นการ ‘เปลี่ยนตลาดทุนสหรัฐฯ ให้กลายเป็นอาวุธและใช้งานผ่านการทำให้เป็นกฎหมาย’

 

ผลกระทบรุนแรงต่อ ‘ดอลลาร์-พันธบัตรสหรัฐฯ’ และ ‘American Exceptionalism’

 

นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เห็นพ้องต้องกันว่า หากมาตรา 899 ผ่านวุฒิสภาในรูปแบบปัจจุบัน จะส่งผลกระทบทางลบอย่างมีนัยสำคัญในหลายด้าน ได้แก่ ลดความน่าดึงดูดของพันธบัตรสหรัฐฯ

 

ซาราเวลอสประเมินว่า ภาษีใหม่นี้อาจทำให้อัตราผลตอบแทนที่แท้จริงของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ลดลงเกือบ 1% ซึ่งจะกระทบต่ออุปสงค์ในพันธบัตรสหรัฐฯ และการจัดหาเงินทุนเพื่อชดเชยการขาดดุลของสหรัฐฯ ในยามที่ต้องการเงินทุนจากต่างชาติ
การอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐ ซึ่ง เอเลียส ฮัดดาด นักกลยุทธ์ตลาดอาวุโสของ Brown Brothers Harriman (BBH) เรียกมาตรการนี้ว่า ‘การเล่นกับไฟ’ เพราะจะกีดกันการลงทุนจากต่างชาติในช่วงที่สหรัฐฯ พึ่งพิงเงินทุนต่างชาติในการรองรับหนี้ที่พุ่งสูงขึ้น ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อดอลลาร์อย่างชัดเจน

 

นอกจากนี้อาจจะสั่นคลอนแนวคิด ‘American Exceptionalism’ บทวิเคราะห์จาก Money Distilled โดย John Authers ชี้ว่า การที่สหรัฐฯ เคยเป็นตลาดที่ให้ผลตอบแทนสูง มีภาคธุรกิจที่แข็งแกร่ง และมีระบบกรรมสิทธิ์ที่ชัดเจน ทำให้เงินทุนทั่วโลกไหลเข้า จนเกิดแนวคิดว่า ‘ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากสหรัฐฯ (There Is No Alternative: TINA)’ การพยายาม ‘เก็บค่าธรรมเนียม’ จากนักลงทุนต่างชาติผ่านภาษีนี้ อาจเป็นการทำลายความเชื่อมั่นดังกล่าว และเร่งให้เกิดการกระจายเงินทุนออกจากสหรัฐฯ

 

ใครบ้างที่จะโดนหางเลข แล้วนักลงทุนไทยจะกระทบอย่างไร?

 

ผลกระทบไม่ได้จำกัดอยู่แค่บริษัทหรือนักลงทุนจากยุโรปเท่านั้น แม็กซ์ เลอวีน หัวหน้าฝ่ายภาษีสหรัฐฯ ของสำนักงานกฎหมาย Linklaters เตือนว่า มาตรา 899 ‘อาจเพิ่มอัตราภาษีอย่างมีนัยสำคัญสำหรับบุคคลธรรมดา ธุรกิจ หน่วยงานรัฐบาล และนิติบุคคลอื่นๆ ที่ไม่ได้อยู่ในสหรัฐฯ’

 

ซึ่งอาจรวมถึงรัฐบาลและธนาคารกลางของประเทศต่างๆ ที่เป็นผู้ถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ รายใหญ่ เช่น ฝรั่งเศสและเยอรมนี ถือครองรวมกัน 4.75 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ณ เดือนมีนาคม

 

ส่วนผลกระทบต่อนักลงทุนไทย มทินา วัชรวราทร ผู้บริหารฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บลจ.กสิกรไทย มองว่า อาจได้รับผลกระทบทางอ้อมหากประกาศใช้จริง โดยอาจได้รับผลตอบแทนลดลง อย่างไรก็ตาม ประเทศที่จะได้รับผลกระทบหลักน่าจะเป็นฝั่งยุโรปซึ่งมีรายได้จากสหรัฐฯ ราว 20%

 

ทั้งนี้ การลงทุนที่น่าจะได้รับผลกระทบจะเป็นส่วนที่ได้รับผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ยหรือเงินปันผล แต่กำไรจากส่วนต่างราคาอาจจะไม่ถูกเรียกเก็บเพิ่ม

 

“หากหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลงจากประเด็นนี้อาจเป็นโอกาสในการลงทุน เพราะปัจจุบันทางเลือกในการลงทุนอาจไม่ได้มีมาก และหุ้นสหรัฐฯ ยังเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ”

 

ด้าน ณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ กล่าวว่า มาตรา 899 เป็นอีก ‘ลูกไม้หนึ่ง’ เท่านั้นเอง เป็นการเพิ่มอุปสรรคสำหรับเรื่องการลงทุน แต่จะส่งผลกระทบกับค่าเงินดอลลาร์เป็นหลัก

 

“ไม่คิดว่าปัจจัยนี้จะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ รุนแรงนัก แต่จะกระทบต่อค่าเงินเป็นหลัก ทำให้ดอลลาร์ยิ่งอ่อนค่า ส่วนสินทรัพย์ทางเลือกอย่างทองคำยังได้ประโยชน์เมื่อดอลลาร์เสียความเชื่อมั่น”

 

ขณะที่ เจฟฟ์ หยู นักกลยุทธ์มหภาค EMEA ของ BNY Mellon ในลอนดอน กล่าวว่า จากการสังเกตกระแสเงินลงทุน ยังไม่เห็นปฏิกิริยาตอบสนองในทันที เนื่องจากปัจจุบันพันธบัตรสหรัฐฯ ยังคงให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจ พันธบัตรอายุ 10 ปี อยู่ที่ประมาณ 4.4% และค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงก็ช่วยชดเชยปัจจัยลบอื่นๆ ได้บ้าง
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความพยายามของรัฐบาลทรัมป์ในการ ‘จัดระเบียบ’ การค้าโลกด้วยกำแพงภาษี การขยายแนวรบไปสู่ ‘สงครามทุน’ ผ่านการใช้นโยบายภาษีในลักษณะนี้ ถือเป็นความเสี่ยงใหม่ที่ซับซ้อนและอาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเสถียรภาพของตลาดการเงินโลกในระยะยาว

 

ภาพ: Urbanscape / Getty Images, Chip Somodevilla / Getty Images

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising