×

AOT มูลค่าหายเกือบ 7 แสนล้านบาท ‘นักท่องเที่ยวหาย – Duty Free ขอปรับสัญญา’ กดหุ้นต่ำสุดในรอบ 10 ปี

17.06.2025
  • LOADING...

ความเสี่ยงของเศรษฐกิจและธุรกิจไทยค่อยๆ โผล่ออกมาให้เห็นมากขึ้นในช่วงเวลาปัจจุบัน หนึ่งในนั้นคือเรื่องของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่เคยเป็นดาวเด่นของไทยมานานนับ 10 ปี แต่ปัจจุบันกำลังเผชิญกับการหดตัวในรอบ 3 ปี

 

การชะลอตัวของการท่องเที่ยวส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยโดยรวม และยังส่งผลโดยตรงต่อธุรกิจสนามบินอย่าง ‘ท่าอากาศยานไทย’ (AOT) ผู้เป็นเจ้าของสนามบิน 6 แห่งทั่วประเทศ ได้แก่ สุวรรณภูมิ ดอนเมือง ภูเก็ต เชียงใหม่ หาดใหญ่ และเชียงราย

 

จนแม้แต่ธุรกิจที่เรียกได้ว่าเกือบจะผูกขาดต้องสั่นสะเทือน ซึ่งยังไม่นับปัญหาเรื่องของรายได้จากสัมปทาน Duty Free ที่อาจจะหดหายไปไม่มากก็น้อย

 

AOT มูลค่าหายเกือบ 8 แสนล้านบาท

 

นับแต่ต้นปีที่ผ่านมา บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT กลายเป็นในกลุ่ม Top 50 ที่มีมูลค่ามากที่สุดของไทย ที่ราคาหุ้นปรับตัวลดลงมากที่สุด 54.2% (ข้อมูล ณ วันที่ 16 มิถุนายน 2568) และหากมองย้อนกลับไปตั้งแต่จุดสูงสุดของบริษัทที่ช่วงปลายปี 2562 ก่อนเกิดวิกฤตโควิดมูลค่าตามราคาตลาด (Market Capitalization) ของ AOT หายไปแล้วกว่า 7 แสนล้านบาท

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

จากบริษัทที่เคยมีมูลค่ามากถึง 1.1 ล้านล้านบาท ปัจจุบันลงมาเหลือประมาณ 3.9 แสนล้านบาท ขณะที่ราคาหุ้นก็ร่วงลงมาต่ำสุดในรอบเกือบ 10 ปี

 

หากมองจากผลประกอบการของ AOT ในอดีตที่ผ่านมา โดยเฉพาะงบ 6 เดือน (ตุลาคม 2567 – มีนาคม 2568) ภาพรวมยังทำได้ค่อนข้างดี มีรายได้รวม 35,808 ล้านบาท กำไรสุทธิ 10,397 ล้านบาท ส่วนปีก่อนทั้งปีมีรายได้รวม 67,733 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 19,182 ล้านบาท

 

แต่ในมุมมองของนักวิเคราะห์ที่มองไปยังอนาคต ดูเหมือนว่าภาพของ AOT อาจจะไม่ค่อยสดใสนัก ข้อมูลจาก Settrade.com ที่รวมความเห็นของนักวิเคราะห์ 17 แห่ง ค่อนข้างกระจัดกระจาย โดยแนะนำซื้อ 4 แห่ง ถือ 8 แห่ง และขาย 5 แห่ง ส่วนกรอบราคาเหมาะสมอยู่ระหว่าง 24-47.25 บาท

 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า ปี 2568 คาดว่ารายได้ธุรกิจสนามบินจะอยู่ที่ 80,700 ล้านบาท หรือขยายตัว 0.2% ชะลอลงจากปี 2567 ปัจจัยสนับสนุนรายได้มาจาก

 

1. จำนวนผู้โดยสารที่คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 145.4 ล้านคน เพิ่มขึ้น 3.4% แม้ชะลอลงจากปี 2567 เนื่องจากชาวต่างชาติเที่ยวไทยมีทิศทางลดลงจากปีที่ผ่านมา

 

2. แผนเที่ยวบินจากสายการบินระหว่างประเทศมาไทยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 ยังสะท้อนภาพบวก

 

หากมองไปข้างหน้า ธุรกิจสนามบินในไทยเผชิญความท้าทายสูง จากความเสี่ยงที่จำนวนผู้โดยสารและแผนเที่ยวบินของสายการบินอาจลดลงกว่าที่ประเมิน จากทิศทางเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศชะลอตัวและปัญหาภูมิรัฐศาสตร์การเมืองระหว่างประเทศ ที่มีผลต่อการเดินทางระหว่างประเทศ ซึ่งจะมีผลต่อรายได้ที่เกี่ยวกับกิจการการบิน และผลต่อเนื่องถึงรายได้ที่ไม่เกี่ยวกับกิจการการบิน ในส่วนของสัมปทานก็อาจได้รับผลกระทบจากส่วนแบ่งรายได้ที่ลดลง

 

ความเสี่ยงล่าสุด King Power ของเจรจาสัญญา Duty Free ใหม่

 

King Power Duty Free ได้ส่งหนังสือถึง AOT เพื่อขอให้มีการหารือหาแนวทางและข้อยุติเกี่ยวกับสัญญาสัมปทานจำหน่ายสินค้าปลอดอากร (Duty Free) ที่สนามบินภูมิภาค ได้แก่ ภูเก็ต เชียงใหม่ และหาดใหญ่ ภายใน 45 วัน โดยอ้างเหตุสุดวิสัยหลายประการ ได้แก่ การหยุดดำเนินงานร้านค้าปลอดอากรขาเข้าจากนโยบายรัฐบาล, การลดภาษีสินค้าประเภทไวน์, การขอคืนพื้นที่ประกอบกิจการของ AOT บางส่วน, การขาดมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว, แนวโน้มอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่อ่อนแอ, ผลกระทบจากโควิดและการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และภาระค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำ (Minimum Guarantee) ที่ต้องจ่ายให้ AOT สูงขึ้น

 

ปวีณา จริยฐิติพงศ์ รักษาการผู้อำนวยการใหญ่ AOT เปิดเผยว่า AOT จะจัดตั้งคณะกรรมการวิเคราะห์แนวทางเพื่อเจรจาและจะจ้างที่ปรึกษาที่เป็นสถาบันอุดมศึกษาของรัฐเพื่อศึกษาและวิเคราะห์ทางเลือกในการแก้ไขปัญหาการประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากรให้เหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน โดยคาดว่าจะได้ผลการศึกษาภายใน 60 วัน และจะไม่มีผลกระทบต่อคุณภาพการบริการผู้โดยสาร
ในมุมมองของ บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ มองว่า แม้ราคาหุ้น AOT จะปรับตัวลดลง 7% เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (13 มิถุนายน) แต่เราเชื่อว่ายังมีความเสี่ยงที่ราคาหุ้นจะปรับตัวลงต่อจากปัจจัย Overhang ในธุรกิจสัมปทานที่เพิ่มขึ้น และระยะเวลาในการแก้ไขปัญหายังไม่แน่นอน

 

ทั้งนี้ สัมปทานร้านค้าปลอดอากรของคิง เพาเวอร์ คิดเป็น 57% ของรายได้ส่วนแบ่งผลประโยชน์ของ AOT และ 20% ของรายได้รวมทั้งหมด การปรับเปลี่ยนสัญญาอาจครอบคลุมไปถึงสัมปทานพื้นที่ค้าปลีกด้วย คิดเป็น 19% ของรายได้ส่วนแบ่งผลประโยชน์ หรือ 6% ของรายได้รวม เนื่องจากค่า Minimum Guarantee ในสัญญาสัมปทานนี้ก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน

 

ขณะที่การแก้ไขปัญหาอาจใช้เวลานานกว่ากรอบเวลา 60 วันที่ AOT กำหนดไว้ เนื่องจากผลการศึกษาของ AOT จะต้องมีการชี้แจงและเจรจากับกลุ่มคิง เพาเวอร์ เพื่อให้ได้ข้อตกลงที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน หากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ เรามองว่ามีโอกาสที่ AOT จะต้องเปิดประมูลใหม่ ซึ่งจะใช้เวลาเพิ่มเติมในการร่าง TOR และกระบวนการประมูล

 

ยกตัวอย่างเช่น AOT ใช้เวลา 5-6 เดือนสำหรับการประมูลสัมปทานในปี 2562 เราเชื่อว่าการจัดประมูลใหม่จะได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการรายอื่นๆ นอกจากนี้ AOT ยังมีสิทธิเรียกหลักประกันจากธนาคาร (Bank Guarantee) ประมาณ 1.1 หมื่นล้านบาท หากกลุ่มคิง เพาเวอร์ ยกเลิกสัญญา

 

สถานการณ์นี้แสดงให้เห็นว่าผู้รับสัมปทานไม่สามารถจ่าย Minimum Guarantee ที่สูงได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้รายได้และกำไรของ AOT ลดลง แสดงให้เห็นถึงความอ่อนไหวของกำไร ถ้า Minimum Guarantee ของสัญญาสัมปทานทั้งหมดของกลุ่มคิง เพาเวอร์ ลดลง กรณีฐานของเราใช้สมมติฐานว่า Minimum Guarantee ที่คาดว่าจะได้รับจำนวน 1.4 หมื่นล้านบาท สำหรับปี 2568 จะลดลงมาอยู่ที่ระดับเดียวกับปี 2562 ที่ 1.1 หมื่นล้านบาท หรือลดลง 22% อย่างไรก็ตาม กรณีเลวร้ายที่สุดคือรายได้ดังกล่าวหายไปทั้งหมด หรือหมายถึงไม่มีการดำเนินร้านค้าปลอดอากร แต่ไม่น่าจะเกิดขึ้น

 

ท่องเที่ยวไทยปี 68 เสี่ยงหดตัว

 

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2551 จำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเยือนไทยอยู่ที่เพียง 4.5 ล้านคน ผ่านมา 16 ปี จนถึงปี 2567 จำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 30 ล้านคน โดยปีที่มากที่สุดคือ 2562 ที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในไทยถึง 39.9 ล้านคน เพิ่มขึ้นเกือบ 9 เท่า

 

หลังวิกฤตโควิด ช่วงปี 2020-2022 นักท่องเที่ยวค่อยๆ ฟื้นตัวได้อีกครั้ง พร้อมกับความคาดหวังที่ว่าอุตสาหกรรมนี้จะกลับมาเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอีกครั้ง

 

ตัดภาพมาที่ปัจจุบัน ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุอีกว่า “จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยที่ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนพฤษภาคม 2568 และเสี่ยงจะติดลบในช่วงที่เหลือของปี”

 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยจึงปรับลดคาดการณ์ตัวเลขนักท่องเที่ยวทั้งปีนี้มาที่ 34.5 ล้านคน หดตัว 2.8% จากปีก่อน และการกลับสู่ระดับก่อนโควิดที่เกือบ 40 ล้านคน ดูจะเป็นเรื่องที่ท้าทายมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ค่าใช้จ่ายต่อทริปเฉลี่ยที่ยังต่ำหรือคาดจะอยู่ที่ไม่ถึง 5 หมื่นบาท ก็นำมาสู่ประเด็นคำถามที่ว่า ภาคการท่องเที่ยวของไทย จะยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญของเศรษฐกิจอยู่หรือไม่?

 

แม้ว่าการท่องเที่ยวยังมีบทบาทสำคัญ สะท้อนจากรายได้สุทธิการท่องเที่ยวที่คาดว่าจะยังเป็นบวก แต่แรงหนุนต่อเศรษฐกิจในช่วงข้างหน้าเสี่ยงจะลดน้อยลง เนื่องจาก

 

1. รายได้ตลาดต่างชาติเที่ยวไทยเผชิญการแข่งขันสูง

 

2. คนไทยยังเที่ยวต่างประเทศต่อเนื่อง

 

3. แม้คนไทยจะเที่ยวในประเทศด้วยแต่ก็ใช้จ่ายอย่างระมัดระวังมากขึ้น

 

หนึ่งในกลุ่มนักท่องเที่ยวหลักที่ลดลงคือ นักท่องเที่ยวจีน ซึ่ง KKP Research มองว่าเป็นปัญหาจาก 3 ข้อเท็จจริงที่สังเกตได้ในช่วงที่ผ่านมา

 

ข้อแรกคือ จีนเที่ยวในประเทศและออกไปเที่ยวเองมากขึ้นจากทั้งภาวะเศรษฐกิจจีนที่ชะลอลง ขณะเดียวกันรัฐบาลจีนเริ่มส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศเป็นเครื่องยนต์เศรษฐกิจหลักอีกเครื่องยนต์หนึ่ง

 

ข้อสองคือ นักท่องเที่ยวจีนที่ฟื้นตัวกลับมาเปลี่ยนจากกรุ๊ปทัวร์เป็นนักท่องเที่ยวอิสระมากขึ้น ช่วงก่อนโควิดนักท่องเที่ยวจีนที่มาไทยเลือกมาในลักษณะกรุ๊ปทัวร์เกือบ 40% ปัจจุบันลดลงเหลือเพียง 20%

 

ข้อสามคือ นักท่องเที่ยวจีนที่ออกมาเที่ยวนอกประเทศกลับเลือกไปเที่ยวประเทศอื่นๆ มากขึ้น โดยสาเหตุที่เลือกมาเที่ยวไทยน้อยลงอาจจะแบ่งเป็น 2 ด้าน

 

1. การเที่ยวซ้ำของนักท่องเที่ยวจีนอาจต้องใช้เวลา โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวอิสระที่ต้องมีการเตรียมตัววางแผนท่องเที่ยวเอง

 

2. ประเด็นความปลอดภัยที่รุนแรงขึ้นในสายตานักท่องเที่ยวจีน

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising