×

วางกลยุทธ์ลงทุนอย่างไร ท่ามกลางดอลลาร์ที่อ่อนค่าไม่หยุด

30.09.2025
  • LOADING...

หลังจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) เผชิญกับการอ่อนค่าครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 50 ปีหรืออ่อนค่าเกือบ 11% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 นักลงทุนทั่วโลกต่างจับจ้องและตั้งคำถามสำคัญว่า ทิศทางของสกุลเงินหลักของโลกจะเป็นอย่างไรต่อไป และที่สำคัญที่สุดคือ เราควรวางกลยุทธ์การลงทุนเพื่อรับมือกับความผันผวนนี้อย่างไร?

 

บทความนี้ UOB Privilege Banking จะพาทุกท่านไปวิเคราะห์ถึงปัจจัยที่ขับเคลื่อนค่าเงินดอลลาร์สหรัฐในปัจจุบัน พร้อมนำเสนอแนวทางการจัดพอร์ตการลงทุนที่ยืดหยุ่นและเหมาะสมกับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป

 

เจาะลึกเบื้องหลังการอ่อนค่าของดอลลาร์

 

ดัชนีดอลลาร์สหรัฐ (DXY) ปรับตัวลดลงอย่างมากถึง 10.7% ในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ แม้ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 4.25-4.50% มาตั้งแต่ปลายปี 2024 (ก่อนที่จะเพิ่งลดดอกเบี้ยลงอีก 0.25% มาอยู่ที่ 4.00-4.25% ในการประชุมเดือนกันยายน 2025 สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายอย่างระมัดระวังเพื่อสนับสนุนตลาดแรงงานที่อ่อนแอลง แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อจะยังคงสูง) มุมมองของ UOB คาดว่าจะลดอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปี 2025 นี้ ในขณะที่ธนาคารกลางของประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ ต่างใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย

 

โดยภาพรวมปัจจัยหลักที่กดดันค่าเงินดอลลาร์สหรัฐมาจาก 1.การเติบโตทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวลง (Slower US economic growth) 2.การขาดดุลงบประมาณที่เพิ่มสูงขึ้น (Rising fiscal deficits) และ 3.ความไม่แน่นอนด้านนโยบาย (Policy uncertainty)

 

แต่อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง มาจากกำแพงภาษีที่ชื่อว่า Reciprocal Tariff ของสหรัฐฯ

 

หากมองย้อนกลับไปตั้งแต่วัน ‘Liberation Day’ เมื่อ 2 เมษายน 2025 จะเห็นว่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงอย่างมาก แม้ในทางทฤษฎี การขึ้นภาษีมักจะทำให้ค่าเงินของประเทศที่เรียกเก็บภาษีสูงขึ้น แข็งค่าขึ้น แต่จะเป็นเช่นนั้นหากไม่มีการเก็บภาษีตอบโต้

 

แต่สถานการณ์ที่ผ่านมาจะเห็นว่าหลายๆ ประเทศมีการตอบโต้ ทำให้การขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ครั้งนี้ นำไปสู่การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ หนึ่งในงานวิจัยของ Ostry et al. (2025) บอกว่า เมื่อสหรัฐฯ ขึ้นภาษีทั่วโลกซึ่งไม่ได้เจาะจงแค่จีน และถูกตอบโต้กลับ เงินดอลลาร์สหรัฐจะอ่อนค่าลงอย่างชัดเจน

 

ตัวอย่างเช่น ความสัมพันธ์ระหว่างเงินดอลลาร์สหรัฐกับเงินยูโร การขึ้นภาษีทั่วโลก 1% ที่ถูกตอบโต้ จะทำให้ดอลลาร์อ่อนค่าลงถึง 8% เมื่อเทียบกับเงินยูโร ข้อมูลในอดีตชี้ว่าผลกระทบของการขึ้นภาษีต่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐขึ้นอยู่กับการตอบโต้ของประเทศคู่ค้า อย่างกรณีกำแพงภาษีกับยุโรป หากไม่มีการตอบโต้ เงินดอลลาร์สหรัฐจะแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับยูโร แต่หากถูกตอบโต้กลับ เงินดอลลาร์สหรัฐจะอ่อนค่าลงอย่างรุนแรง โดยทุกๆ 1% ของภาษีที่สหรัฐฯ ขึ้น อาจส่งผลให้ค่าเงินอ่อนลงได้ถึง 8% เมื่อเทียบกับเงินยูโร

 

อย่างไรก็ตาม UOB มองว่า แม้ว่าค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอาจมีแนวโน้มอ่อนค่าลงอีกในระยะสั้น แต่อัตราการอ่อนค่าจะเริ่มชะลอตัวลง ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า และต้องไม่ลืมว่าดอลลาร์สหรัฐยังคงสถานะเป็นสกุลเงินสำรองหลักของโลก (Dominant global reserve currency) เนื่องจากบทบาทที่สำคัญอย่างยิ่งในการทำธุรกรรมทางการเงินทั่วโลก ซึ่งสะท้อนถึงความน่าเชื่อถือในระยะยาว

 

ปัจจัยที่อาจจะส่งผลต่อทิศทางค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าหรืออ่อนค่า เกิดจากปัจจัยอะไรบ้าง

 

ปัจจัยที่จะทำให้ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า

 

  • หากเกิดภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัว หรือ ภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย (Global Recession) อาจกระตุ้นให้เกิดภาวะที่นักลงทุนหลีกเหลี่ยงความเสี่ยง (Risk-off) ซึ่งจะส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจเพิ่มขึ้น ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe-Haven)
  • เศรษฐกิจสหรัฐฯ เติบโตแข็งแกร่งต่อเนื่อง เช่น อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ขยายตัว ตลาดจ้างงานที่แข็งแกร่ง อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับที่เหมาะสม จะทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ

 

ปัจจัยที่จะทำให้ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า

 

  • การคาดการณ์เศรษฐกิจสหรัฐฯ ถูกปรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญ หากเศรษฐกิจสหรัฐฯ เติบโตช้ากว่าประเทศเศรษฐกิจหลักอื่นๆ อาจนำไปสู่การลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed เพิ่มเติม ส่งผลให้ผลตอบแทนจากการถือสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐจะลดลง
  • ความไม่แน่นอนด้านนโยบายของสหรัฐฯ ในด้านต่างๆ เช่น  นโยบายภาษีศุลกากร, การลดทอนความเป็นอิสระของ Fed และการขาดดุลงบประมาณที่สูงขึ้นมาก อาจบ่อนทำลายความเชื่อมั่นในค่าเงินดอลลาร์ได้

 

กลยุทธ์จัดพอร์ต สร้างความยืดหยุ่นในยุคดอลลาร์สหรัฐผันผวน

 

ในภาวะที่ทิศทางค่าเงินมีความไม่แน่นอน การยึดติดกับสินทรัพย์ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเพียงอย่างเดียวอาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุด UOB Privilege Banking แนะนำกลยุทธ์เพื่อสร้างความยืดหยุ่นและเตรียมพร้อมรับมือกับทุกสภาวะตลาด

 

หัวใจสำคัญคือ การกระจายความเสี่ยง โดยนักลงทุนควรพิจารณา กระจายพอร์ตการลงทุนไปยังสินทรัพย์นอกเหนือจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้เพื่อปกป้องมูลค่าของสินทรัพย์จากเงินเฟ้อและการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ ควรพิจารณาจัดสรรเงินลงทุน 5-10% ของพอร์ตลงทุนในทองคำ รวมถึงกระจายพอร์ตการลงทุนในสัดส่วนที่เหมาะสม โดยเน้นตราสารหนี้คุณภาพดีระดับ Investment grade รวมไปถึงหุ้นปันผลคุณภาพดี ที่ยังคงมีความน่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่ต้องการรายได้จากเงินปันผลที่สม่ำเสมอ หรือ หุ้นที่มีการเติบโตคุณภาพดี โดยเฉพาะในกลุ่มเทคโนโลยี คาดว่าจะให้ผลตอบแทนชนะตลาดในระยยาว ดังนั้นการปรับตัวลดลงในระยะสั้นถือเป็นโอกาสในการเข้าลงทุน

 

UGIS (ระดับความเสี่ยงกองทุน 5)

 

ลงทุนในตราสารหนี้ทั่วโลก เพื่อสร้างผลตอบแทนที่น่าสนใจอย่างสม่ำเสมอ บริหารโดย PIMCO

 

KFGDIV (ระดับความเสี่ยงกองทุน 6)

 

เน้นลงทุนในหุ้นปันผลชั้นนำของโลก เฟ้นหาหลักทรัพย์ที่มีศักยภาพในการจ่ายปันผลที่ดีสม่ำเสมอ และมีแนวโน้มเติบโต บริหารโดย Fidelity

 

KT-Technology (ระดับความเสี่ยงกองทุน 7)

 

เน้นลงทุนในทุกธีมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีทั่วโลก เพื่อเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทน บริหารโดย Fidelity

 

UOBSG-H (ระดับความเสี่ยงกองทุน 8)

 

เน้นลงทุนใน SPDR Gold Trust ที่ลงทุนในทองคำแท่งโดยตรงที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ และมีการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน  

 

นักลงทุนสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม หรือติดต่อที่ปรึกษาทางการเงิน (Client Advisor) ของ UOB Privilege Banking ได้ที่ โทร. 0 2081 0999 หรือคลิก www.uob.co.th/privilegebanking 

 

คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

 

UOB Privilege Banking

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising