ก้าวเข้าสู่ปี 2025 แล้ว สำหรับโลกของการลงทุนในปี 2024 อาจเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในปีที่ดีของหลายๆ สินทรัพย์
สินทรัพย์หลักอย่างตลาดหุ้นทั่วโลกให้ผลตอบแทนราว 18% อิงจากดัชนี MSCI ACWI (ข้อมูล ณ วันที่ 24 ธันวาคม 2024) หนุนจากผลตอบแทนของหุ้นเทคโนโลยีของสหรัฐฯ
ขณะที่ผลตอบแทนของสินทรัพย์อื่นๆ อย่างตราสารหนี้ Investment Grade ก็ให้ผลตอบแทน 5-6% กอง REITs ให้ผลตอบแทน 14% (ข้อมูล ณ วันที่ 30 กันยายน 2024) ส่วนทองคำก็ให้ผลตอบแทนสูงถึง 27% (ข้อมูล ณ วันที่ 24 ธันวาคม 2024)
แต่อย่างที่ทุกคนทราบกันดีอยู่แล้วว่า ผลตอบแทนในอดีตไม่ได้เป็นสิ่งยืนยันของผลตอบแทนในอนาคต การที่สินทรัพย์ต่างๆ ให้ผลตอบแทนดีในปีนี้ก็อาจไม่ได้เป็นเช่นนั้นในปีถัดไป สิ่งสำคัญคือการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับปัจจัยต่างๆ ที่อาจเปลี่ยนแปลงไป
ในบทความนี้ UOB Privilege Banking จะพาทุกคนไปสำรวจว่าโอกาสและความเสี่ยงของการลงทุนจะเป็นอย่างไรในปี 2025
การกลับมาของ โดนัลด์ ทรัมป์
ก่อนที่จะไปพูดถึงโอกาสและความเสี่ยง คงต้องพูดถึงตัวแปรสำคัญที่จะเปลี่ยนแปลงไปในปี 2025 นั่นคือการกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นครั้งที่ 2 ของ โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการลงทุนทั่วโลกจากแนวนโยบายที่เปลี่ยนแปลงไป
การกลับมาของทรัมป์พร้อมการครองเสียงข้างมากทั้งสองสภาของพรรครีพับลิกัน ทำให้นโยบายหลายอย่าง โดยเฉพาะเรื่องของกำแพงภาษี อาจถูกนำมาใช้ได้ง่ายขึ้น ซึ่งโดยภาพรวมแล้วหลายๆ นโยบายของทรัมป์จะนำไปสู่เงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น
นโยบายที่น่าจะกระทบกับเศรษฐกิจและการลงทุนทั่วโลกมากที่สุดคือเรื่องของกำแพงภาษี ซึ่ง ณ จุดนี้อาจจะยังคาดเดาได้ยากว่าจะปรับขึ้นรุนแรงแค่ไหน ซึ่งในมุมมองของ UOB กรณีปกติ (Base Case) คาดว่าจะเห็นการขึ้นภาษีสินค้าจีน 25% และประเทศอื่นๆ ที่เกินดุลกับสหรัฐฯ 10%
ขณะที่นโยบายการลดภาษีนิติบุคคลจะช่วยหนุนความเชื่อมั่นและการลงทุนของธุรกิจในสหรัฐฯ ซึ่งจะเป็นบวกต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่วนแนวทางที่อาจเปลี่ยนไปคือเรื่องของนโยบายสีเขียว ทำให้เราอาจเห็นการผลิตพลังงานจากน้ำมันและก๊าซธรรมชาติออกมามากขึ้น รวมทั้งความพยายามในการยุติสงครามต่างๆ ที่อาจกระทบต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์
ความเสี่ยงจากสงครามการค้า
แน่นอนว่าหากสงครามการค้ารุนแรงกว่าที่คาดไว้ เช่น ทรัมป์ขึ้นภาษีสินค้าจีนไปมากถึง 60% อย่างที่เคยหาเสียงไว้ UOB ประเมินว่ามีความเสี่ยงที่ GDP โลกในปี 2025 จะเติบโตได้เพียง 2.5% จากที่คาดว่าจะเติบโตได้ 3.1% ส่วนการเติบโตของ GDP สหรัฐฯ และจีนจะลดลงไปเหลือเพียง 1.3% และ 3.5% ตามลำดับ
อีกหนึ่งความเสี่ยงที่สำคัญและอาจกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนในเอเชียมากเป็นพิเศษคือเศรษฐกิจจีน จากปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์จีนทำให้การเติบโตของ GDP มีแนวโน้มจะต่ำกว่า 5% ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า รวมทั้งแรงกดดันจากภาวะเงินฝืดที่เป็นผลจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและธุรกิจที่ลดลง
ผลจากสงครามการค้าที่กำลังจะรุนแรงมากขึ้น ทำให้ค่าเงินในภูมิภาคเอเชียมีแนวโน้มจะผันผวนและอ่อนค่าสวนทางกับเงินดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม ในส่วนของค่าเงินบาท เมื่อพิจารณาจากยุคสงครามการค้าช่วงแรกในปี 2018-2020 จะเห็นได้ว่าค่อนข้างแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ ในเอเชีย ซึ่งในครั้งนี้เราก็น่าจะเห็นค่าเงินบาทผันผวนน้อยกว่าเช่นเดียวกัน
โอกาสที่ยังมีให้เห็น
หนึ่งในสินทรัพย์ที่ยังมีแนวโน้มจะให้ผลตอบแทนที่ดีในปี 2025 คือ ‘ทองคำ’ ในฐานะ ‘หลุมหลบภัย’ (Safe Haven) ในยุคทรัมป์ 2.0 โดยปัจจัยหนุนสำคัญคือความต้องการทองคำของธนาคารกลางในกลุ่มประเทศเกิดใหม่และเอเชีย เพื่อถือเป็นทุนสำรอง รวมทั้งความต้องการจากคนทั่วไปที่เพิ่มขึ้น เพื่อชดเชยการอ่อนค่าของค่าเงินในประเทศอย่างอินเดีย จีน และเวียดนาม
ทั้งนี้ UOB ประเมินว่าราคาทองคำมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นเป็น 2,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในไตรมาสแรก ก่อนจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็น 2,800 ดอลลาร์, 2,900 ดอลลาร์ และ 3,000 ดอลลาร์ ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2025
อีกหนึ่งโอกาสที่น่าสนใจสำหรับการลงทุน โดยเฉพาะในช่วงต้นปี 2025 คือตราสารหนี้คุณภาพดี ซึ่งสามารถสร้างรายได้ที่สม่ำเสมอและมีโอกาสทำกำไรจากส่วนต่างราคาจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีแนวโน้มปรับลดดอกเบี้ยลงต่อ
ในมุมของตลาดหุ้นหลังจากที่หุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นได้ค่อนข้างโดดเด่นในปี 2024 นักลงทุนควรขยายการลงทุนไปยังอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยเฉพาะอุตสาหกรรมต่างๆ ที่นำ AI ไปปรับใช้กับวิธีการดำเนินงานและการเติบโตให้มากขึ้น เช่น กลุ่มการเงินและกลุ่มสุขภาพ นักลงทุนควรมองหาโอกาสการลงทุนระยะยาวจากกลุ่ม AI
กองทุนที่น่าสนใจสำหรับคว้าโอกาสปี 2025
ปี 2025 มีหลากหลายสินทรัพย์ที่ยังมีโอกาสเติบโตทั้งหุ้นและตราสารหนี้ แต่การกลับมาดำรงตำแหน่งของ โดนัลด์ ทรัมป์ ก็อาจสร้างความผันผวนได้ทุกเมื่อ การลงทุนแบบหลากหลายสินทรัพย์ หรือ Multi-Asset จะเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยให้นักลงทุนมีการกระจายความเสี่ยงในการลงทุน และไม่พลาดโอกาสจากการลงทุนที่หลากหลายสินทรัพย์ ภูมิภาค และอุตสาหกรรม UOB Privilege Banking แนะนำการลงทุนผ่านกองทุนเปิด ยูไนเต็ด ซีไอโอ อินคัม ฟันด์ TH (UIFT-N) เป็นกองทุนรวมผสม ความเสี่ยงระดับ 5 ลงทุนผ่านกองทุนหลัก United CIO Income Fund – Class T USD Acc ที่มีนโยบายกระจายการลงทุนไปทั่วโลก อาจลงทุนทางอ้อมในบริษัทข้างต้นผ่านกองทุนรวม, กองทุนรวม ETFs หรือกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) และลงทุนโดยตรงในบริษัทผ่านตราสารทุน หลักทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับตราสารทุน หรือตราสารหนี้ที่ออกโดยบริษัทเหล่านี้โดยตรงและบริหารงานแบบ Active Management นโยบายหลักจะลงทุนในหุ้น 50% และตราสารหนี้ 50% โดยสามารถยืดหยุ่นได้ ±20% ตามความเหมาะสม
โดยนักลงทุนสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมหรือติดต่อที่ปรึกษาทางการเงิน (Client Advisor) ของ UOB Privilege Banking ได้ที่ โทร. 0 2081 0999 หรือคลิก www.uob.co.th/privilegebanking
คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน
อ้างอิง: