หุ้นมิสแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ MGI เจ้าของเวทีประกวดนางงามมิสแกรนด์ทั้งในไทยและระดับนานาชาติ เป็นหุ้น IPO ที่ร้อนแรงที่สุดในช่วงอย่างน้อย 5 ปีที่ผ่านมา จากราคา IPO 4.95 บาท พุ่งขึ้นมาเป็น 35 บาท หรือประมาณ 7 เท่าตัว ภายในเวลาแค่ 2 เดือน
ความร้อนแรงของมิสแกรนด์ฯ ร้อนไปจนถึงตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องออกมาสั่งพักการซื้อขาย 1 วัน (20 กุมภาพันธ์) ด้วยเหตุผลที่ว่า
“การซื้อขายผิดไปจากสภาพปกติโดยไม่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับ”
ปวีณา ศรีโพธิ์ทอง รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานกำกับตลาด ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) อธิบายเพิ่มเติมว่า การขึ้นเครื่องหมาย P (Pause) และสั่งพักการซื้อขายหุ้น MGI 1 วัน เป็นเรื่องของการซื้อขายที่ผิดไปจากปกติ แต่ผิดอย่างไรนั้นขอไม่เปิดเผย
อย่างไรก็ตาม การถูกสั่งพักการซื้อขายด้วยเครื่องหมาย P เป็นเรื่องของการซื้อขายที่ผิดปกติเท่านั้น แตกต่างจากเครื่องหมาย SP (Trading Suspension) ซึ่งมักจะเป็นหุ้นที่มีปัญหาเรื่องงบการเงิน
ความเห็นต่อหุ้นมิสแกรนด์ฯ แตกออกเป็นหลายมุม เช่น 1. กลุ่มที่เชื่อว่าธุรกิจของมิสแกรนด์ฯ มีโอกาสจะไปได้ไกลกว่านี้อีกมาก แต่ราคาก็ไม่ถูกอีกแล้ว หรือ 2. กลุ่มที่เชื่อว่าธุรกิจของมิสแกรนด์ฯ ยังเติบโตได้ แต่ด้วยราคาตอนนี้ถือว่าแพงเกินไปแล้ว
ในมุมของผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 5 อย่าง เฉลิมเดช ลีวงศ์เจริญ บอกว่า การจะตัดสินว่าราคาหุ้นตัวใดเกินมูลค่าพื้นฐานหรือไม่ ขึ้นอยู่กับมุมมองและสมมติฐานของแต่ละคน แต่ในความเป็นจริงแล้วอาจไม่มีใครรู้จริงว่ามูลค่าของหุ้นนั้นควรเป็นเท่าไร
ส่วนสาเหตุที่ยังคงถือหุ้นมิสแกรนด์ฯ เฉลิมเดชบอกว่า “ในวันที่ซื้อตั้งแต่ราคา IPO คิดว่าเป็นราคาที่ถูกมาก จึงรอดูว่าบริษัทจะทำได้อย่างที่คาดหวังหรือไม่ แต่ถ้าให้ซื้อตอนนี้คงไม่กล้า เพราะถ้าบริษัททำไม่ได้ตามที่คาดหวังก็มีความเสี่ยงที่ราคาหุ้นจะลงแรง”
สำหรับความคาดหวังที่รอดูคือ ความนิยมของมิสแกรนด์ในหลายๆ ประเทศ หากเป็นที่นิยมมากขึ้นก็มีโอกาสที่ผลิตภัณฑ์ของบริษัทจะขายได้มากขึ้นในระดับโลก รวมทั้งการที่บริษัทจะสามารถปลุกปั้นนางงามของแต่ละประเทศให้มีชื่อเสียงขึ้นมาได้ ซึ่งจะเป็นส่วนที่ช่วยสร้างการเติบโตอย่างก้าวกระโดด
อย่างไรก็ตาม เฉลิมเดชยอมรับว่า การประเมินมูลค่าหุ้น “เป็นกึ่งจินตนาการ ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน ผมเองก็ไม่รู้จริงว่า Valuation ของ MGI ควรจะเป็นเท่าไร”
ในมุมกลับกัน ถกล บรรจงรักษ์ นักวิเคราะห์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) แนะนำว่า หากนักลงทุนถือหุ้นมิสแกรนด์ฯ อยู่ก็ควรจะขาย แม้ว่าแนวโน้มผลประกอบการของบริษัทในไตรมาส 4 น่าจะออกมาดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ แต่ด้วยราคาหุ้นตอนนี้ถือว่าเกินมูลค่าที่เหมาะสมไปมากกว่า 3 เท่า
สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ราคาหุ้นมิสแกรนด์ฯ ยังยืนอยู่สูงหรือเพิ่มขึ้นต่อไปได้แม้ราคาจะแพงไปแล้วนั้น ถกลมองว่า “เป็นเรื่องความเชื่อมั่น หากนักลงทุนรายใหญ่ไม่ปล่อยหุ้นออกมา เมื่อมีคนใหม่เข้ามาซื้อ ราคาก็จะถูกดันขึ้นไปเรื่อยๆ”
ปัจจุบันโครงสร้างรายได้ของมิสแกรนด์ฯ มาจาก 4 กลุ่มหลัก คือ 1. จำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค ประมาณ 41%, 2. จัดประกวดนางงามมิสแกรนด์ ประมาณ 13%, 3. สื่อและบันเทิง ประมาณ 19% และ 4. บริหารจัดการศิลปิน ประมาณ 23% ส่วนที่เหลือเป็นรายได้อื่นๆ
ซึ่งก่อนหน้านี้ บล.หยวนต้า ประเมินว่า มิสแกรนด์ฯ จะมีรายได้ประมาณ 505 ล้านบาทในปี 2566 และ 589 ล้านบาทในปี 2567 ส่วนกำไรสุทธิน่าจะทำได้ราว 96 ล้านบาท และ 114 ล้านบาท ตามลำดับ
ล่าสุดมูลค่าหุ้นตามราคาตลาด (Market Cap.) ของหุ้นมิสแกรนด์ฯ อยู่ที่ 7.2 พันล้านบาท บน P/E 81.96 เท่า อิงจากกำไร 12 เดือนย้อนหลัง สิ่งที่ต้องตามดูต่อจากนี้ก็คงจะหนีไม่พ้นการเติบโตของกำไรในแต่ละไตรมาส
ส่วนผู้ลงทุนแต่คนก็คงต้องไม่ลืมว่าทุกการลงทุนมีความเสี่ยง หุ้นที่ถูกคาดหวังสูง หากเรายอมซื้อในราคาสูงมากก็มีความเสี่ยงที่จะขาดทุนหนักได้เช่นกัน
อย่างที่เฉลิมเดชกล่าวเตือนไว้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- หุ้นนางงาม MGI เข้าเทรดวันแรก ปิดภาคเช้าบวกแรงกว่า 40% พบคนดังถือหุ้นเพียบ
- หุ้นมิสแกรนด์ฯ พุ่งแรงทำนิวไฮ วิ่งชนซิลลิ่ง เข้าเทรด 3 วันบวกเฉียด 140% หลัง ‘อิงฟ้า’ ยันไม่มีแผนขายหุ้น