วันนี้ (1 กรกฎาคม) พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บชก.) เรียกประชุมเจ้าหน้าที่กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ปปท.)
เพื่อติดตามความคืบหน้าการตรวจสอบบัญชีรายรับรายจ่ายของวัดตรีทศเทพ หลังพบความผิดปกติกรณี พระเทพวชิรปาโมกข์ (อาชว์ อาชฺชวปเสฏฺโฐ) หรือ เจ้าคุณอาชว์ ได้ลาสิกขาอย่างกะทันหันที่จังหวัดหนองคาย
พล.ต.ต.จรูญเกียรติ เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า การเข้าตรวจสอบบัญชีรายรับรายจ่ายที่วัดตรีทศเทพเมื่อวานนี้ (30 มิถุนายน 2568) ยังไม่เป็นที่น่าพอใจนัก เนื่องจากทางวัดให้เอกสารทางบัญชีมาเพียงบางส่วน และพระสงฆ์หลายรูปยังคงหวาดกลัว จึงไม่ค่อยให้ความร่วมมือเท่าที่ควร
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ประสานงานกับรักษาการเจ้าอาวาสวัด เพื่อให้แต่งตั้งไวยาวัจกรใหม่ ซึ่งคาดว่าจะได้รับความร่วมมือมากขึ้นในอนาคต โดยตำรวจได้ประสานขอรายการเดินบัญชีธนาคารของวัดจำนวน 5 บัญชี และบัญชีต้องสงสัยอีกจำนวนหนึ่งมาตรวจสอบทั้งหมด
จากการตรวจสอบเบื้องต้น ตำรวจมีข้อมูลที่น่าเชื่อถือว่าตำแหน่งเจ้าอาวาสไม่ได้มีรายได้มาก แต่กลับพบหลักฐานการโอนเงินบางส่วนจากบัญชีที่เกี่ยวข้องกับวัดไปยังบัญชีสีกาหญิงหลายรายการ มียอดเงินตั้งแต่หลักหมื่นถึงหลักแสนบาท ซึ่งเชื่อว่าอาจเป็นเงินของวัด นอกจากนี้ เจ้าคุณอาชว์บางครั้งก็ไม่ได้ใช้บัญชีตัวเองในการโอน แต่ให้บุคคลอื่นดำเนินการแทน โดยความสัมพันธ์กับสีกาที่ยาวนานกว่า 1 ปี อาจทำให้เงินจำนวนมากไหลออกไป ซึ่งยังไม่ทราบวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน
พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวเน้นย้ำว่า ตำรวจจำเป็นต้องตรวจสอบเส้นทางการเงินให้มีพยานหลักฐานที่ชัดเจน หากพบว่ามีเงินออกจากบัญชีวัดเข้าสู่บัญชีบุคคล ไม่ว่าจะเป็นการโอนหรือมอบเป็นเงินสด ก็จะเข้าข่ายความผิดอาญา และเนื่องจากเจ้าคุณอาชว์ได้ลาสิกขาไปแล้ว จึงรีบดำเนินการตรวจสอบบัญชีและยับยั้งไว้ก่อน เพื่อป้องกันไม่ให้มีการนำเงินที่เหลือของวัดออกไป
ส่วนกรณีเงินจำนวน 7.6 ล้านบาท ที่สีกาข่มขู่แบล็กเมล์เจ้าคุณอาชว์นั้น ตำรวจเชื่อว่ายังไม่มีการจ่ายเงินจำนวนดังกล่าว แต่ยืนยันว่ามีข้อมูลที่น่าเชื่อถือเป็นคลิปและข้อความแชตไลน์ว่าเจ้าคุณอาชว์อาจกระทำผิดวินัยสงฆ์ถึงขั้นปาราชิก และมีการเจรจาระหว่างพระผู้ใหญ่และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เพื่อให้เจ้าคุณอาชว์ลาสิกขา เนื่องจากสร้างความเสื่อมเสีย แต่เจ้าคุณอาชว์ไม่ยอม จึงมีการประสานให้ บก.ปปป., ปปท. และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เข้ามาตรวจสอบ เพราะเกรงว่าหากคลิปดังกล่าวรั่วไหลจะสร้างความเสียหายต่อสถาบันพระพุทธศาสนา
สำหรับการเรียกสอบปากคำผู้ที่เกี่ยวข้องนั้น พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ระบุว่าจะรอให้รวบรวมพยานหลักฐานจนได้ข้อเท็จจริงที่ชัดเจนก่อน จึงจะเรียกผู้ที่เกี่ยวข้องมาให้ปากคำ เบื้องต้นได้ประสานสีกาคนดังกล่าวไปแล้ว แต่ฝ่ายหญิงบ่ายเบี่ยง จึงยังไม่ได้สอบปากคำ
อย่างไรก็ตาม ตนมองว่าเรื่องความสัมพันธ์กับสีกาเป็นเรื่องที่มหาเถรสมาคม (มส.) จะต้องดำเนินการ แต่ตำรวจจะมุ่งเน้นไปที่การตรวจสอบเรื่องการทุจริตเงินวัด ซึ่งหากพบหลักฐานชัดเจน ก็สามารถเรียกสีกามาสอบปากคำภายหลังได้
ส่วนประเด็นที่ว่าคดีนี้จะเกี่ยวข้องกับธุรกิจสีเทา หรือการให้สมณศักดิ์แลกกับผลประโยชน์ เหมือนคดีของเจ้าคุณแย้มหรือไม่นั้น พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ต้องขอตรวจสอบเส้นทางการเงินก่อน ณ ปัจจุบัน ยังไม่พบความเชื่อมโยงระหว่างวัดทั้งสองแห่ง หรือพยานหลักฐานตามกระแสข่าวว่ามีการจ่ายเงินแลกกับการได้สมณศักดิ์แต่อย่างใด
เกี่ยวกับตัวเจ้าคุณอาชว์ ตำรวจยังไม่แน่ชัดว่ายังอยู่ในประเทศไทยหรือไม่ โดยพบข้อมูลการเดินทางกลับเข้าประเทศไทยล่าสุดเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2568 ซึ่งเป็นการกลับมาลาสิกขา จึงอาจจะยังอยู่ในประเทศ หรืออาจเดินทางออกนอกประเทศผ่านทางพรมแดนธรรมชาติไปแล้ว
พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ฝากถึงเจ้าคุณอาชว์ว่า ขณะนี้ตำรวจยังไม่ได้ดำเนินคดีอาญาในข้อหาทุจริตเงินวัด พบเพียงหลักฐานการกระทำผิดวินัยสงฆ์เท่านั้น อีกทั้งเจ้าคุณอาชว์ยังเป็นฝ่ายถูกสีกากรรโชกทรัพย์ด้วยซ้ำ ดังนั้นจึงอยากให้เจ้าคุณอาชว์เข้ามาให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ หากให้การ ก็จะสามารถดำเนินคดีกับสีกาในข้อหากรรโชกทรัพย์ได้ ซึ่งคาดว่าเจ้าคุณอาชว์อาจถูกกรรโชกทรัพย์มาแล้วหลายครั้ง