สถานีโทรทัศน์ CNN รายงานว่า วอร์เรน บัฟเฟตต์ มหาเศรษฐีนักลงทุนผู้ครอบครองสินทรัพย์มูลค่ารวมเกือบ 105,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ผู้ก่อตั้ง Berkshire Hathaway เดินหน้ากว้านซื้อหุ้นของบริษัทคืนในช่วงไตรมาสสองที่ผ่านมา ขณะที่สามารถทำกำไรจากการดำเนินงาน ซึ่งเป็นตัวชี้วัดความแข็งแกร่งของบริษัท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 6,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากไตรมาสสองของปี 2020 ก่อนหน้าถึง 21%
รายงานระบุว่า Berkshire Hathaway ซื้อคืนหุ้นของบริษัทรวม 6,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงไตรมาสที่สอง ทำให้นับตั้งแต่ต้นปี Berkshire Hathaway ซื้อหุ้นคืนรวมแล้ว 12,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ความเคลื่อนไหวของ Berkshire Hathaway มีขึ้นหลังจากที่บริษัทสามารถพลิกฟื้นกลับมาเติบโตได้ตามทิศทางการฟื้นตัวของตลาดหุ้นวอลล์สตรีท โดยรายได้ของบริษัทในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้เพิ่มขึ้นแตะ 39,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ พลิกฟื้นจากการขาดทุนเมื่อช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาที่ 23,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
นักวิเคราะห์ประเมินว่า ท่าทีของบัฟเฟตต์ที่ซื้อหุ้น Berkshire Hathaway คืน แสดงให้เห็นว่านักลงทุนวัย 91 ปีรายนี้ ค่อนข้างมองการลงทุนในตลาดเวลานี้ด้วยความระมัดระวัง แม้เจ้าตัวอยากจะเดินหน้าเข้าซื้อกิจการขนาดใหญ่อีกครั้งเพื่อเพิ่มพอร์ตของ Berkshire Hathaway อีกสักครั้งก็ตาม โดยหลายฝ่ายมองว่า ลำพังแค่สินทรัพย์ในความครอบครองของ Berkshire Hathaway ที่มีอยู่ในปัจจุบันก็มีเพียงพอให้บริษัทสามารถยืนตระหง่านได้มั่นคงในตลาด ไม่ว่าจะเป็นหุ้นในกลุ่มรถไฟ การขนส่ง สินค้าอุปโภคบริโภค พลังงาน และประกัน
อย่างไรก็ตาม แม้จะได้รับการยอมรับในฐานะบริษัทที่มั่งคั่งและมั่นคงมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก แต่ในมุมมองของนักลงทุนในศตวรรษที่ 21 ซึ่งเป็นนักลงทุนรุ่นใหม่ที่ไม่ได้ให้ความสำคัญเพียงแต่ตัวเลขสัดส่วนหุ้นและมูลค่ารายได้-กำไรจากการลงทุนเท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับระเบียบและการดำเนินการด้านสังคม สิ่งแวดล้อม และหลักธรรมาภิบาล หรือ Environmental, Social and Governance (ESG) ของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดด้วย โดยประเด็นที่นักลงทุนให้ความสำคัญในขณะนี้ก็คือ ปัญหาโลกร้อน ที่ทางองค์การสหประชาชาติ (UN) เพิ่งออกรายงานเตือนภัยเร่งด่วนของวิกฤตโลกร้อน
ถือเป็นความท้าทายใหม่ของ Berkshire Hathaway หลังได้รับการจัดอันดับจาก MSCI ESG ซึ่งเป็นการลงคะแนนจากผู้เชี่ยวชาญแล้วพบว่า Berkshire Hathaway อยู่ในอันดับเกือบท้ายสุดของตาราง ขณะที่ตัวบัฟเฟตต์เองก็เชื่อมั่นอย่างแรงกล้า ปัญหาโลกร้อนไม่ได้เป็นปัจจัยที่จะกดดันหรือกระทบฝ่ายบริหารให้ต้องตัดสินใจตามข้อกังวลด้านสภาพภูมิอากาศของผู้ถือหุ้นแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม หลายฝ่ายต่างจับตามองว่า บริษัทที่โดดเด่นและมีการดำเนินการด้านการเงินอย่างมีประสิทธิภาพจะสามารถจัดการกับวิธีการ ESG ที่กำลังเป็นกระแสของตลาด และได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนที่มีอิทธิพล ซึ่งรวมถึง BlackRock ผู้จัดการสินทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกได้มากน้อยเพียงใด
อ้างอิง: