ผ่านมา 1 สัปดาห์ หลังจากที่กระทรวงมหาดไทยมีคำสั่งให้เริ่มดำเนินการเพิกถอนเอกสารสิทธิในพื้นที่ ‘เขากระโดง’ ตำบลอิสาน และตำบลเสม็ด จังหวัดบุรีรัมย์ รวมกว่า 5,083 ไร่ ชาวบ้านในพื้นที่ได้นัดรวมตัวกันที่โรงเรียนบ้านเขากระโดง (ศิลาทองอุปถัมภ์) เพื่อแสดงออกถึงการคัดค้านการเพิกถอนโฉนดที่ดิน
จันทร์ ฮาเจริญกุล อายุ 64 ปี หนึ่งในผู้มีเอกสารสิทธิ์เปิดเผยว่า ตนเองถือครองโฉนดที่ดินตั้งแต่ปี 2513 ซึ่งในเอกสารสิทธิ์มาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งเมื่อได้ยินข่าวการเพิกถอนโฉนดที่ดินก็รู้สึกเสียใจ และอยากให้รัฐบาลแก้ไขปัญหา และตั้งคำถามว่าจะเพิกถอนได้อย่างไรในเมื่อโฉนดที่ดินดังกล่าวก็ออกโดยกรมที่ดิน พร้อมยอมรับว่า ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนมาก หากรื้อถอนชาวบ้านจะไปอยู่ที่ไหน เพราะอยู่ที่นี่มานานแล้ว
ส่วนที่มีการเพิกถอนที่ดินนั้น มีเจ้าหน้าที่มาติดต่อพูดคุยบ้างหรือไม่ จันทร์ กล่าวว่า ก็ไม่มีเจ้าหน้าที่เข้ามาติดต่อเลย เราก็ติดตามข่าวอยู่ และเห็นมีแต่ให้เพิกถอนโฉนดที่ดินเพียงอย่างเดียว เราก็รู้ว่าจะไปอยู่ที่ไหน ซึ่งหากจะเยียวยา รัฐบาลจะมีปัญญาเยียวยาให้ชาวบ้านหรือไม่ เพราะมี 900 กว่าครัวเรือน
จันทร์ ยืนยันว่า จะไม่ยินยอมให้เพิกถอนที่ดิน หรือให้เช่าพื้นที่กับ รฟท. เพราะเราอยู่มาก่อน ซึ่งเราจะไม่หนี ไม่ย้าย ไม่ออก หากเขามาขับไล่เราก็จะสู้ อีกทั้งมองว่า ควรจะไปแก้ไขปัญหาประชาชนหรือความขัดแย้งชายแดนให้จบก่อน
ขณะที่ ขนิษฐา คล้ายขำ อายุ 45 ปี ชาวบ้านในพื้นที่ ตั้งคำถามว่า หากเพิกถอน รัฐบาลจะมีที่รองรับหรือไม่ และอยากทราบว่าเหตุใดไม่เพิกถอนตั้งแต่พื้นที่นี้ยังไม่พัฒนา แต่เมื่อชาวบ้านมีการพัฒนามีที่อยู่ที่ทำกินถึงเพิ่งจะมาเอาที่ดินในตอนนี้ จึงอยากรู้ว่ารัฐบาลต้องการอะไร และจะไม่ย้ายไปไหน
แม้มีสถานที่ให้ ก็ให้รัฐบาลไปอยู่เอง ซึ่งอยากให้รัฐบาลกลับไปทบทวนเรื่องนี้ให้ดี โดยมองว่า เป็นเรื่องของเกมการเมืองที่กลั่นแกล้งกัน เพราะก่อนหน้านี้เรื่องก็เงียบไป แต่เมื่อพรรคภูมิใจไทยถอนตัวร่วมรัฐบาลเรื่องนี้ก็กลับมาอีก
ส่วน ประทุม อุดมรัตน์ อายุ 63 ปี บอกกับผู้สื่อข่าวเช่นกันว่า ตนเองเชื่อมั่นว่า เนวิน ชิดชอบ จะสามารถช่วยเหลือชาวบ้านได้จากเรื่องปัญหาที่ดินเขากระโดง ซึ่งก็ติดตามเห็นว่าเนวินก็เป็นห่วงประชาชนในพื้นที่มาโดยตลอด และเป็นคนที่พัฒนาบุรีรัมย์มาโดยตลอด จากที่แต่ก่อนเป็นพื้นที่ไม่มีอะไรเลย แต่เมื่อในปี 2555 สนามบอลสร้างเสร็จก็มีปัญหาทันที ทั้งๆ ที่แต่ก่อนก็ไม่มีปัญหา และเชื่อมั่นว่าจะผ่านเรื่องนี้ไปได้ด้วยดีอย่างแน่นอน
ด้าน สงบ พลสยม ชาวบ้านในจังหวัดบุรีรัมย์ เปิดเผยว่า ภายหลังทราบข่าวกระทรวงมหาดไทยเตรียมดำเนินการเพิกถอนสิทธิ์ในที่ดินบริเวณเขากระโดงนั้น ตนรู้สึกใจเสียทันทีที่ได้ยินข่าว และถึงกับนอนไม่หลับ เพราะกังวลว่า หากถูกยึดที่ดินจะไม่มีที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะในยุคที่ค่าครองชีพสูงขึ้นทุกวัน
“ถ้าเพิกถอนที่ดิน แล้วฉันจะไปอยู่ที่ไหน ฉันเป็นทั้งผู้สูงอายุและผู้พิการอีก จะให้ไปอยู่วัดเหรอ ที่ดินแปลงดังกล่าวได้รับมาจากบิดาในฐานะมรดก และถือครองโดยสุจริตมาตลอด
สงบกล่าวต่อว่า พื้นที่ดังกล่าวเป็นเพียงแปลงเล็กๆ และเป็นที่พึ่งสุดท้ายของครอบครัว ถ้าจะเพิกถอน ก็ขอให้ไปเพิกถอนของคนรวย อย่ามายุ่งกับคนจนเลย เรามีกันคนละนิดคนละหน่อย เห็นใจคนยาก คนจน คนแก่บ้าง”
ขณะที่ กิตติเทพ เจียรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โรงโม่หินเพชร จำกัด เปิดเผยว่า ขณะนี้โรงโม่หินสิ้นสุดสัญญาสัมปทานแล้ว และเตรียมย้ายสถานประกอบการไปยังพื้นที่ตำบลสวายจีก อำเภอเมืองบุรีรัมย์
สำหรับกรณีพิพาทเรื่องสิทธิในที่ดินที่ผ่านมา กิตติเทพ กล่าวว่า ตนเคยทำหนังสือชี้แจงตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 61 พร้อมแนบเอกสารที่แสดงว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เคยรังวัดพื้นที่และออกโฉนดในแนวเขตข้างเคียงไว้แล้ว จากนั้นเจ้าหน้าที่จากสำนักงานที่ดินลำชีจึงเข้ารังวัดและออกโฉนดในพื้นที่ของตน
“ก่อนหน้านี้ การรถไฟเองยังเคยยืนยันว่าที่ดินของเราอยู่นอกเขต แต่วันนี้กลับขีดเส้นเขตขึ้นใหม่อย่างกว้างมาก ผมเองก็เพิ่งมาทราบเรื่องจากข่าวที่ออกสื่อ”
กิตติเทพกล่าวว่า ขณะนี้รอเพียงว่า กรมที่ดินจะดำเนินการฟ้องเพิกถอนเอกสารสิทธิต่อครอบครัวของผมอย่างไร แต่ยืนยันว่าพร้อมต่อสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรม และเห็นว่า การเพิกถอนเอกสารสิทธิในทันทีโดยไม่เปิดโอกาสให้ชี้แจงนั้นไม่ยุติธรรม
กรณีเขากระโดงมีมิติทางการเมืองแฝงอยู่ โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างพรรคภูมิใจไทยกับพรรคเพื่อไทย “ตอนสองพรรคร่วมรัฐบาลกันก็ไม่มีเสียงอะไร แต่พอไม่ได้ร่วมรัฐบาลกัน เรื่องนี้ก็ถูกหยิบกลับมาอีก อย่างคุณเนวิน ชิดชอบ ที่ถือครองพื้นที่บางส่วนในเขตข้อพิพาท ก็ไม่เห็นเดือดร้อนอะไร แต่ผมกับประชาชนทั่วไปที่ถือครองกันหลายร้อยไร่นี่ล่ะ โดนเต็มๆ”
แม้จะมีคำสั่งศาลที่เกี่ยวข้องกับการเพิกถอน กิตติเทพย้ำว่าไม่ได้รู้สึกกังวล และพร้อมยอมรับคำพิพากษาหากสุดท้ายต้องแพ้คดี แต่ยืนยันสิทธิในการชี้แจงข้อเท็จจริง
“ถ้าศาลตัดสินว่าแพ้ ผมก็ยอม ที่ดินก็เป็นของชาติ แต่ในระหว่างนี้ ผมขอใช้สิทธิ์ในการสู้คดี เพราะผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าสุดท้ายแล้ว ใครผิด ใครถูก”
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ทราบหรือไม่ว่าพื้นที่ดังกล่าวมีปัญหากับการรถไฟมาก่อน เขาตอบว่า กรณีนี้วนเวียนมาโดยตลอด และมักจะถูกหยิบยกขึ้นมาเฉพาะช่วงที่มีประเด็นการเมือง
“เรื่องนี้มันร้อยเปอร์เซ็นต์ทางการเมืองครับ ถ้าไม่ใช่การเมือง อยู่ดี ๆ จะมาเพิกถอนกันทันทีแบบนี้เหรอ แค่เปลี่ยนรัฐมนตรีก็มีคำสั่งใหม่เลย”
ท้ายที่สุด กิตติเทพ ฝากถึงเจ้าหน้าที่และข้าราชการที่เกี่ยวข้องว่า ขอให้ทุกคนทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ความจริงไม่ตายหรอกครับ แต่สุดท้ายมันก็ขึ้นอยู่กับอำนาจว่าใครจะสั่งอย่างไร