ถึงจะแอบคิดไว้บ้าง (ความจริงก็แอบตั้งใจ) ว่าถ้าเขียนถึงเรื่องของสุดยอดคู่หูดูโอ กาเบรียล บาติสตูตา และรุย คอสตาแล้วน่าจะมีคนคิดถึงเรื่อง ‘Viva Calcio’ กันบ้าง
ปรากฏว่าในคอมเมนต์ของคุณผู้อ่านหลายท่านก็เอ่ยถึงมังงะเรื่องนี้จริงด้วย! และทำให้กลายเป็นโจทย์สำหรับเรื่องราวในสัปดาห์นี้ต่อมาถึงเรื่องราวของมังงะระดับตำนานเรื่องหนึ่งในยุค 90 ที่หลายคนยังไม่ลืมและไม่เคยลืม
ในยุคสมัยที่มังงะฟุตบอลเฟื่องฟู มีหลากหลายเรื่องราวให้ติดตาม แต่ทำไม Viva Calcio และการผจญภัยของ ‘โย ชีนะ’ จึงมีที่ว่างพิเศษเสมอในกล่องความทรงจำของใครหลายคน?
บิดเข็มนาฬิกาย้อนเวลากลับไปในช่วงต้นยุค 90 (แคร่กๆ)
ในช่วงเวลานั้นนับเป็น ‘ยุคทอง’ ของการ์ตูน – หรือมังงะ – สายฟุตบอลก็ว่าได้ เพราะภายหลังจากที่กัปตันซึบาสะ (Captain Tsubasa) ผลงานของอ.โยอิจิ ทาคาฮาชิ สร้างปรากฏการณ์ตั้งแต่ปี 1981 พลังของความฝันเหล่านั้นได้แปรผกผันกลายเป็นแรงบันดาลใจของยุคสมัย
ญี่ปุ่นในเวลานั้นอยู่ระหว่างการเดินหน้าตามหาความฝันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเขา ซึ่งความฝันนั้นคือการที่ทีมชาติญี่ปุ่นจะไปเล่นฟุตบอลโลกให้ได้
ในโลกของความเป็นจริง เรื่องนี้ถูกขับเคลื่อนด้วยการลงมือตั้งใจวางรากฐานและต่อยอดพัฒนาวงการฟุตบอลภายในประเทศอย่างจริงจัง ซึ่งหนึ่งในเรื่องสำคัญที่เกิดขึ้นจากความนิยมของเกมฟุตบอลที่เพิ่มสูงขึ้นในหมู่เยาวชน อันเป็นผลจากเรื่องราวของโอโซระ ซึบาสะ และผองเพื่อนก็คือการกำเนิดฟุตบอลเจ-ลีก (J-League) ในปี 1993
แต่ในอีกด้านหนึ่งแรงบันดาลใจนั้นถูกส่งต่อให้แก่นักเขียนมังงะรุ่นต่อมาที่ต่างรังสรรค์เรื่องราวหลากหลาย
Shoot!, J-Dream, Whistle คือมังงะที่กำเนิดขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งแต่ละเรื่องก็จะมีแนวทางและเส้นเรื่องที่แตกต่างกันออกไป โดยส่วนใหญ่คือเรื่องของนักฟุตบอลญี่ปุ่นผู้พยายามอย่างไม่ยอมแพ้ในการที่จะไปให้ถึงความสำเร็จ
ท่ามกลางบรรดามังงะฟุตบอลเหล่านั้นมีเรื่องนึงที่แตกต่าจากเรื่องอื่นอย่างสิ้นเชิง
เพราะ ‘ฉาก’ ของเรื่องราวนั้นไม่ได้เกิดขึ้นในการแข่งขันฟุตบอลระดับโรงเรียน หรือการแข่งขันฟุตบอลเจ-ลีก หรือการแข่งขันฟุตบอลในระดับทีมชาติญี่ปุ่น
แต่เป็นการผจญภัยของเด็กญี่ปุ่นคนหนึ่งในกัลโช เซเรีย อา ลีกฟุตบอลอันดับหนึ่งของโลกในเวลานั้น

เรื่องราวของ Viva Calcio เป็นผลงานระดับตำนานของอ.ซึคะสะ ไอฮะระ ว่าด้วยการเดินทางของโย ชิอินะ (หรือชีนะ) เด็กวัยรุ่นชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งที่พกความฝันในการจะไปเล่นในกัลโช เซเรีย อา ลีกฟุตบอลอันดับหนึ่งของโลกที่อุดมไปด้วยซูเปอร์สตาร์นักเตะระดับโลกผู้เก่งกาจที่สุด
โดยเฉพาะทีมในฝันของเขาอย่างทีม ‘ปีศาจแดงดำ’ เอซี มิลาน ทีมที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นทีมอันดับหนึ่งของโลกในเวลานั้น
แต่ถึงจะเป็นพระเอก (Protagonist) ก็ไม่ได้หมายความว่าชีนะจะได้ทุกอย่างที่เขาอยากได้ ในทางตรงกันข้ามต่อให้เก่งกาจอย่างน่าเหลือเชื่อสักแค่ไหนในชั้นเชิงของการเล่นฟุตบอล สิ่งที่เขาไม่สามารถเอาชนะได้ง่ายๆคือ ‘อคติ’ ของชาวต่างชาติที่ดูแคลนชาวญี่ปุ่นในเวลานั้น
ชาติที่ไม่เคยได้ไปฟุตบอลโลกเนี่ยนะจะมาใส่เสื้อรอสโซเนรีอันทรงเกียรติ?
ตรงนี้ไม่ได้เป็นแค่เรื่องของการวางพล็อตที่น่าสนใจ แต่เป็นเรื่องความจริงของ ‘กำแพง’ บางอย่างที่นักเตะญี่ปุ่นไม่สามารถก้าวข้ามได้ในเวลานั้น การดูแคลนเหยียดหยามต่างๆ นานาที่ชีนะต้องเจอในเรื่องนั้นเป็น ‘ของจริง’ ในชีวิตนักฟุตบอลญี่ปุ่นหลายคนที่ต้องเผชิญในการผจญภัยต่างแดนในช่วงเวลาหลายปีให้หลัง
แม้กระทั่งนักฟุตบอลอันดับหนึ่งของญี่ปุ่นอย่าง ‘คิง คาซู’ คาซึโยชิ มิอุระ เองก็มีสภาพเป็นแค่ตัวประกอบอดทนในทีมเจนัว (ที่ถูกมองว่าได้ไปเล่นในทีมลูกกระจ๊อกของเซเรีย อา เพราะสปอนเซอร์อย่างเครื่องเสียง Kenwood)
จุดที่ทำให้เรื่องสนุกคือแม้ว่าชีนะจะเริ่มเปลี่ยนใจให้เอซี มิลานสนใจดึงตัวมาร่วมทีมได้แล้ว แต่ อ.ซึคาสะ เลือกทีมให้ใหม่ได้น่าสนใจ ซึ่งก็คือทีม ‘ม่วงมหากาฬ’ ฟิออเรนตินา
โดยที่ต้องบอกว่าเป็นการเลือกที่ยอดเยี่ยมกระเทียมดองอย่างมาก!

เหตุผลนั้นเพราะในช่วงเวลาดังกล่าวฟิออเรนตินา เป็นหนึ่งในทีมที่มีสีสันมากที่สุดของอิตาลี นับตั้งแต่ข่าวการย้ายทีมระดับสะเทือนวงการของโรแบร์โต บักโจ เทพบุตรลูกหนังอันดับหนึ่งของวงการที่ย้ายข้ามฟากไปอยู่กับคู่อริอันดับหนึ่งอย่างยูเวนตุส
ในโลกของความเป็นจริงทีม ‘ลา วิโอลา’ ไปคว้าตัวกาเบรียล บาติสตูตา ศูนย์หน้าดาวเด่นของอาร์เจนตินามาร่วมทีมเพื่อเป็นตัวทดแทนของบักโจ
ในโลกของ Viva Calcio บาติสตูตา ก็มีตัวตนจริงๆ เป็นหนึ่งในตัวเก่งของทีมร่วมกับ ไบรอัน เลาดรูป และสเตฟาน เอฟเฟนแบร์ก สองสตาร์ระดับท็อปของวงการฟุตบอลยุโรป
ตรงนี้นี่เองที่เป็นความแตกต่างที่สุดของมังงะเรื่องนี้กับเรื่องอื่น เพราะในขณะที่เรื่องอื่นไม่ได้มีการอ้างอิงนักฟุตบอลในโลกของความเป็นจริง มากที่สุดก็แค่ถอดแบบคาแรกเตอร์บางอย่างของตัวละครออกมา (เช่น คาร์ล-ไฮนซ์ ชไนเดอร์ บอสใหญ่ของซึบาสะในภาคแรกก็มาจากคาร์ล-ไฮนซ์ รุมเมนิกเก หัวหอกทีมชาติเยอรมนีตะวันตก) แต่ใน Viva Calcio เราได้เห็นตัวละครที่เป็นนักฟุตบอลจริงๆ มากมาย
ไม่ใช่แค่ในทีมฟิออเรนตินาด้วย แต่มีนักฟุตบอลระดับสตาร์ของเซเรีย อา ในยุคนั้นมากมายโผล่เข้าฉากตลอด ไม่ว่าจะเป็น ‘สามทหารเสือชาวดัตช์’ รุด กุลลิท, แฟรงค์ ไรจ์การ์ด และมาร์โก ฟาน บาสเทน ในทีมเอซี มิลาน, บักโจ ในสีเสื้อยูเวนตุส, จูเซ็ปเป ซินญอรี หัวหอกพระกาฬของลาซิโอ
โดยที่ดีไซน์ของชุดแข่งก็แทบถอดแบบมาจากของจริงด้วย
และถึงชีนะและผองเพื่อน – ซึ่งรวมถึง รุย คอสตา ที่ย้ายมาฟิออเรนตินา ตามโลกของความจริงในช่วงเวลาเดียวกับที่โลกมังงะกำลังดำเดินไปเรื่อยๆ จะเก่งกาจแค่ไหนก็ตาม ในเรื่องก็ไม่ได้นำเสนอเทคนิคการเล่นในระดับมหัศจรรย์พันลึกอะไรมากมาย
ทุกอย่างยังอยู่บนพื้นฐานของความจริงที่ใส่ไข่เพิ่มเข้าไปแค่นิดหน่อยเท่านั้น
สิ่งเหล่านี้ทำให้เรื่องราวนั้นไม่ใช่แค่สนุก แต่ยังเติมเต็มจินตนาการ และเหมือนเป็นการเชื่อมโลกสองใบเข้าด้วยกันระหว่างโลกของความจริงและโลกในมังงะ ทำให้เกิดการมีส่วนร่วมอย่างที่มังงะเรื่องอื่นไม่สามารถมอบให้ได้
มันกลายเป็น ‘ส่วนหนึ่งของชีวิต’ ของเด็กหลายคนที่เติบโตในยุคสมัยนั้น ที่เปลี่ยนจากการอ่านมังงะเป็นการติดตามฟุตบอลในโลกของความจริงควบคู่กันไปด้วย
เป็นความสวยงามของชีวิตในช่วงเวลานั้นอย่างแท้จริง

แน่นอนว่าในเรื่องชีนะต้องเจอบททดสอบอย่างหนักหน่วงมากมายทั้งในเชิงของฟุตบอลและความคิดจิตใจ เริ่มตั้งแต่การเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของทีมฟิออเรนตินาให้ได้ (ในยุคสมัยนั้นแต่ละทีมมีนักเตะต่างชาติได้เพียงแค่ 3 คน)
แต่ไม่ว่ามันจะยากแค่ไหน ชีนะสามารถก้าวผ่านอุปสรรคทุกอย่างได้เสมอ
จนถึงฉากสุดท้ายในการทำประตูแฮตทริกปิดท้ายให้ฟิออเรนตินา เอาชนะเอซี มิลาน ที่นำมาโดยบักโจ (ซึ่งก็ย้ายจากยูเวนตุสเหมือนในโลกความจริงด้วยเช่นกัน) ในเกมนัดสุดท้ายของฤดูกาล 4-3 คว้า ‘สคูเด็ตโต’ มาครองได้สำเร็จ
Viva Calcio จึงทำหน้าที่ของตัวเองเสร็จสิ้นและอำลาทุกคนไปในช่วงราวปี 2000
ในช่วงที่เริ่มมีนักเตะญี่ปุ่นย้ายไปเล่นในเซเรีย อา ทีละคน ต่อจากคาซูคือ ฮิเดโตชิ นากาตะ และฮิโรชิ นานามิ ที่ได้เริ่มต้นการผจญภัยในดินแดนลูกหนังที่มหัศจรรย์ที่สุดของโลกในยุคสมัยนั้นจริงๆ
ญี่ปุ่นเองได้ไปฟุตบอลโลกครั้งแรกจริงๆใน 1998 ที่ประเทศฝรั่งเศส

จนเวลาผ่านมาในปัจจุบันญี่ปุ่นกลายเป็นมหาอำนาจเบอร์หนึ่งของเอเชีย เริ่มสู้กับชาติมหาอำนาจอื่นได้ เอาชนะทีมอย่างเยอรมนี สเปนในศึกฟุตบอลโลก และล่าสุดคือสยบบราซิลได้สำเร็จในเกมกระชับมิตร นักเตะญี่ปุ่นเป็นที่ยอมรับในเรื่องของ ‘คุณภาพ’ ไม่ได้ถูกมองเป็นแค่พรีเซนเตอร์ขายของเหมือนในอดีตอีก
ไม่ว่าจะมากหรือน้อย Viva Calcio คือหนึ่งในแรงบันดาลใจของคนญี่ปุ่นที่ฉายภาพในอนาคตให้เห็นล่วงหน้าอีก 30 ปีว่า อีกไม่นานเกินไปจะมีนักฟุตบอลเลือดซามูไรสามารถยืนหยัดต่อกรกับนักเตะระดับสุดยอดของโลกได้อย่างสง่าผ่าเผย
และแม้จะน่าเสียดายที่มังงะเรื่องเยี่ยมนี้ไม่ได้ทำเป็นแอนิเมชัน (อนิเมะ) เหมือนกัปตันซึบาสะ ที่กลายเป็นปรากฏการณ์ในระดับโลก
แต่สำหรับหลายคนแล้ว Viva Calcio ยังคงเป็นหนึ่งในความทรงจำที่ดีที่สุดของชีวิต เหมือนจดหมายรักบันทึกเรื่องราวของฟุตบอลกัลโชในยุค 90 ที่ถูกเก็บไว้อย่างหวงแหนในกล่องสแตนเลสลายการ์ตูนของความทรงจำ
ไม่มีอะไรมาทดแทนได้ และไม่มีวันลืมเลือน


