ถึงแม้ว่าแบรนด์ ‘ไวตามิ้ลค์’ จะอยู่มายาวนานกว่า 60 ปี (ตั้งแต่ปี 2497) แต่ระยะเวลาที่ผ่านไปในแต่ละคืนวันกลับทำให้ไวตามิ้ลค์ ‘เก๋า’ ขึ้นเรื่อยๆ
ที่ต้องบอกอย่างนั้นเพราะว่าการทำแคมเปญของไวตามิ้ลค์นั้นประกอบไปด้วย Consumer Insight, Trend และ Technology เข้ามาผสมผสานกันอย่างลงตัวจนเกิดเป็นความคูล แถมความปังของแคมเปญไม่ได้ประสบความสำเร็จแค่ในประเทศ แต่ยังกวาดรางวัลมากมายทั้งระดับประเทศ ระดับภูมิภาคเอชีย และระดับโลกอีกด้วย
ซึ่งแคมเปญที่ว่าคือ #ทีมเที่ยวไทย กับไวตามิ้ลค์ เที่ยวเมืองรอง 55 ดีไซน์ 55 เมืองรอง ส่วนอะไรที่เป็นเหตุผลที่ทำให้แคมเปญนี้ปังไกลถึงระดับโลก เราจะชวนมาเจาะลึกกัน
#ทีมเที่ยวไทย
ด้วยฐานลูกค้ากลุ่มใหญ่ของไวตามิ้ลค์เป็นกลุ่มที่อายุ 30 ปีขึ้นไป โจทย์ของการทำแคมเปญนี้คือการเข้าหากลุ่มคนรุ่นใหม่ หรือ Gen Z โดยที่ไม่เสียฐานลูกค้าเดิมไป
ณ วันนั้น ไวตามิ้ลค์ต้องการประสบการณ์ที่นอกเหนือจากอิ่มสบายท้อง และร่างกายแข็งแรง ดังนั้นไวตามิ้ลค์จึงหยิบ ‘ขวดแก้ว’ ที่เป็นหนึ่งในสินค้าแฟลกชิป หากกวาดสายตาไปทั่วโลกไม่มีใครที่จะทำยอดขายได้มากกว่าสินค้าขวดแก้วของไวตามิ้ลค์ ซึ่งคนไทยหยิบมาดื่มเดือนละกว่า 20 ล้านขวด
ขณะเดียวกัน Pain Point ของสินค้ากลุ่มดังกล่าวคือ แม้จะตั้งชื่อว่า ‘ไวตามิ้ลค์ทูโก’ แต่ในความเป็นจริงซื้อแล้วต้องกิน ณ จุดขาย เพราะเป็นฝาจีบ ไวตามิ้ลค์จึงทุ่มพัฒนาจนได้เทคโนโลยีที่สมบูรณ์แบบในการเปลี่ยนจากฝาจีบมาเป็น ‘ฝาเกลียว’ ทำให้เกิดความสะดวกขึ้น
นอกจากนี้อีกหนึ่ง Pain Point คือการที่สินค้าสามารถกระจายแค่ในกรุงเทพฯ และอีก 40 จังหวัด ยังไม่ได้เจาะไปยังพื้นที่อื่นๆ เพราะลูกค้าในพื้นที่อื่นยังไม่คุ้นเคยกับการใช้ฝาจีบเท่าไร นี่จึงเป็นอีกสมการที่ไวตามิ้ลค์ต้องการแก้ให้คนที่ไม่รู้จัก หันมารู้จักและคุ้นเคยกับไวตามิ้ลค์
ทั้งหมดจึงกลายเป็นที่มาของ #ทีมเที่ยวไทย โดยไวตามิ้ลค์ได้ไอเดียจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ ททท. ที่กำลังโปรโมต 55 เมืองรองให้คนไทยรู้จักมากขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่แล้วคนไทยมักจะไม่ค่อยนึกถึงกัน
กลายเป็นไอเดียว่า ถ้านำ Pain Point ทั้งหมดมารวมกันก็จะได้แคมเปญที่จะทำให้คนไทยรู้จัก 55 จังหวังเมืองรอง ก่อให้เกิดการเชื่อมต่อของคน 3 กลุ่มคือ 1. คนที่ชอบท่องเที่ยว 2. คนที่อยู่ในพื้นที่ และ 3. ลูกค้าของไวตามิ้ลค์
ยิงปืนนัดเดียวได้นกสามตัว
แคมเปญดังกล่าวได้มีการหยิบชื่อจังหวัดของ 55 เมืองรองมาทำเป็นฉลาก พร้อมกับสัญลักษณ์เด่นๆ ของจังหวัดนั้นด้วย โดยมี บีบีดีโอ และมีเดียคอม ที่เป็นพาร์ตเนอร์มาเป็นผู้ช่วยออกแบบและสร้างสรรค์แคมเปญ
ยังไม่หมดเท่านั้น ไวตามิ้ลค์พัฒนาแอปพลิเคชันเพื่อให้คนเรียนรู้และรู้จักเมืองรองผ่านโลกเสมือนจริง โดยใช้ AR Technology Scanning ที่เพียงสแกนภาพบนขวดไวตามิ้ลค์ทูโก ลาย 55 เมืองรอง ก็จะพบกับแผนที่สถานที่ท่องเที่ยวของจังหวัดนั้นๆ นอกจากนี้ สะสมอิเล็กทรอนิกส์แสตมป์ 55 ดีไซน์จังหวัดเมืองรองผ่านการแอด LINE Official Account ของไวตามิ้ลค์ ที่มีของรางวัลต่างๆ ให้สะสมอีกด้วย
มองให้ลึกลงไป ไวตามิ้ลค์นำ Consumer Insight, Trend และ Technology มาใช้เพื่อตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็น Consumer Insight ที่เดี๋ยวนี้ทุกอย่างต้องสะดวกและรวดเร็ว จึงออกมาเป็นไวตามิ้ลค์ทูโกแบบฝาเกลียว ขณะที่ Trend คือการหยิบเทรนด์เรื่องการท่องเที่ยวที่กำลังบูม ส่วน Technology เป็นการนำเทคโนโลยีมาตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคและทำให้สะดวกมากขึ้น
เรียกว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสามตัว นอกจากทำให้คนไทยรู้จักเมืองไทยมากขึ้นจากแคมเปญนี้ ตัวไวตามิ้ลค์เองก็ได้ประโยชน์จากการเดินทาง ทุกครั้งที่มีการหยิบขวด ซึ่งมักจะบริโภคนอกบ้านอยู่แล้ว ทุกๆ การหยิบขวดในแคมเปญดังล่าวขึ้นมาก็ทำให้ผู้บริโภคนึกถึงไวตามิ้ลค์ไปในตัว ซึ่งเรื่องนี้สะท้อนได้จากยอดขายที่เพิ่มขึ้น
และจากการเก็บข้อมูลในโลกโซเชียลมีเดียของผู้บริโภค ทำให้ไวตามิ้ลค์ได้รับรู้ว่า ผู้บริโภคได้มากกว่าสุขภาพดีและอิ่ม แต่ได้ความรู้เพิ่มเติมว่า 55 เมืองรองมีจังหวัดไหนบ้าง ที่สำคัญยังได้สร้างประสบการณ์ร่วมของแบรนด์กับสินค้า ตลอดจนแบรนด์และผู้บริโภค
เมื่อทั้งสองสิ่งนี้มารวมกันทำให้ไม่ได้กินแล้วอิ่ม ไม่ใช่แค่เปิดฝาแล้วกินให้จบ แต่มันคือประสบการณ์ทั้งหมดที่ได้จากแคมเปญนี้ ซึ่งไม่ได้ตอบโจทย์ผู้บริโภคแค่ Need และ Want แต่คือประสบการณ์ที่ได้มากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา
คว้ารางวัลระดับเอเชียและระดับโลก
ความสำเร็จที่เกิดขึ้นไม่ได้มีเพียงเสียงชื่นชมจากในประเทศเท่านั้น แต่แคมเปญดังกล่าวยังได้รับรางวัลจาก The Festival of Media Global Awards ซึ่งเป็นเวทีประกวดผลงานโฆษณาและผลงานการสื่อสารทางการตลาดที่โดดเด่นทั่วโลก
โดยได้รางวัล Best Campaign for a Local Brand จาการที่เป็นสื่อกลางที่ช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวใน 55 จังหวัดเมืองรอง ผ่านเทคโนโลยีใหม่มาให้ผู้บริโภคได้ค้นหาประสบการณ์ที่หลากหลาย เพื่อที่จะได้สัมผัสวิถีชีวิตไทยสุดอะเมซิง และได้เห็นเมืองไทยในมุมมองที่แตกต่าง โดยมีผลิตภัณฑ์ไวตามิ้ลค์เป็นคู่หูเชื่อมการเดินทางผ่านการสแกนฉลากบนผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับแต่ละจังหวัด
ล่าสุด ยังได้ Dragons of Asia ซึ่งเป็นรางวัลที่เจาะลงไปในเรื่อง ‘กลยุทธ์การตลาด’ ซึ่งจัดโดยสมาคมนักการตลาดโลก โดยแคมเปญดังกล่าวคว้ามาทั้งหมด 5 รางวัล รวมไปถึงการได้ที่ 1 ‘Best of Asia’ ซึ่งจะเป็นตัวแทนแคมเปญของเอเชีย เข้าชิงในระดับโลกต่อไป ซึ่งการได้รางวัลนี้ชี้ให้เห็นว่า นักการตลาดในภูมิเอเชียแปซิฟิกมองเห็นถึงความไม่ธรรมดาของแคมเปญนี้
ต่อยอดสู่ Illustrate ‘77 ดีไซน์ 77 จังหวัด’
อย่างไรก็ตาม #ทีมเที่ยวไทย ไม่ได้มีแค่ปีเดียวเท่านั้น แต่ยังมีการต่อยอดสู่ปีที่สอง กับคอนเซปต์ ‘#ทีมเที่ยวไทย ทั่วไทยแข็งแรง’ โดยการหยิบของดีประจำจังหวัด ตั้งแต่ผลิตภัณฑ์ประจำจังหวัด จนไปถึงแหล่งท่องเที่ยวสำคัญใน 77 จังหวัด ผสานกับความคิดสร้างสรรค์ในการดีไซน์ฉลากแบบใหม่เป็นสเปเชียลคอลเล็กชัน ด้วยลวดลายของดี 77 จังหวัดมาดีไซน์ไว้บนขวดไวตามิ้ลค์ทูโก
ในปีที่สองนี้ยังมาพร้อมกับแคมเปญเปิดฝารับไมล์ ดับเบิลไมล์ทุกการเดินทาง ที่สามารถลุ้นและแลกของรางวัลกว่า 1,800 รางวัลด้วย
ขณะเดียวกันนอกจากแคมเปญดังกล่าวแล้ว สิ่งที่เราได้เห็นจากไวตามิ้ลค์พัฒนาเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ทันสมัย และโดนใจคนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Gen Z ที่ชื่นชอบความตื่นเต้นและชอบอะไรที่เป็นเทรนด์
เราจึงได้เห็นไวตามิ้ลค์เป็นน้ำนมถั่วเหลืองแบรนด์เดียวในเมืองไทย ที่มีความ Dynamic สูงมาก ทันสมัย และไม่ตกเทรนด์จากการออกรสชาติใหม่ๆ กันทุกปี ไม่ว่าจะเป็นไวตามิ้ลค์ ชาไทย, ไวตามิ้ลค์ ดับเบิ้ลช็อกโก, ไวตามิ้ลค์ มะม่วง, ไวตามิ้ลค์ บราวน์ชูการ์ และ ไวตามิ้ลค์ ดัลโกน่า มัคคิอาโต
ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่า ไวตามิ้ลค์ยังคงรักษา ‘ความคูล’ ของตัวเองเอาไว้อย่างเหนียวแน่น ทำให้สามารถเข้าหาคนทุกกลุ่มได้อย่างไม่ตกเทรนด์