โจ คันนิงแฮม ผู้อำนวยการฝ่ายการบริหารจัดการความเสี่ยงของวีซ่า ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ให้ข้อมูลว่า ปัจจุบันผู้บริโภคเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้มากขึ้น ส่งผลให้ธุรกิจอีคอมเมิร์ซและการทำธุรกรรมแบบไร้เงินสดเติบโตอย่างรวดเร็ว นอกจากจะช่วยเพิ่มความสะดวกสบาย ยังช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่ายในการบริหารเงินสดให้กับภาคธุรกิจด้วย อย่างไรก็ตาม การจารกรรมทางการเงินก็เพิ่มตามไปด้วย คาดการณ์ว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า หรือปี 2024 จะมีแนวโน้มอาชญากรรมออนไลน์ที่ก่อให้เกิดความสูญเสียกว่า 1.3 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 4 ล้านล้านบาท
ปัจจุบัน รัฐบาลเกือบทุกประเทศของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกผลักดันประเทศให้เข้าสู่ความเป็นดิจิทัลมากยิ่งขึ้น ลดการใช้จ่ายผ่านเงินสดและเช็กให้น้อยลง เปิดโอกาสการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ของการชำระเงินรูปแบบดิจิทัล มีข้อมูลจากธุรกรรมเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก คาดว่ามูลค่าอีคอมเมิร์ซในในภูมิภาคนี้จะแตะ 3.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 108 ล้านล้านบาท ดึงดูดอาชญากรบนโลกไซเบอร์ ผู้ให้บริการชำระเงินจึงต้องเร่งปรับปรุงเทคโนโลยีและกระบวนการทำธุรกิจให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย
ผู้บริหารวีซ่าเผยว่า ภายในปี 2564 จะมีอุปกรณ์ที่เชื่อมถึงกันมากกว่า 2.5 หมื่นล้านเครื่องกระจายตามจุดต่างๆ ในทุกองศาของการใช้ชีวิต วีซ่าจึงเพิ่มเลเยอร์ในการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลสำคัญของผู้ถือบัตรด้วยโซลูชันและบริการต่างๆ ที่มีมาตรฐานความปลอดภัยสูง ปกป้องข้อมูล และเปลี่ยนข้อมูลสำคัญให้เป็นข้อมูลที่อาชญากรนำไปใช้ต่อไม่ได้ เช่น Visa Advanced Authorisation ที่ใช้เทคโนโลยี Machine Learning เข้ากับปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการตรวจหาข้อมูลความเสี่ยงต่างๆ มากกว่า 500 จุด เพื่อประเมินออกมาเป็นคะแนน และพิจารณาว่าธุรกรรมนั้นๆ เข้าข่ายการโจรกรรมหรือไม่ โดยคะแนนจะถูกส่งต่อให้กับสถาบันการเงินเพื่อใช้เป็นข้อมูลในการอนุมัติแต่ละธุรกรรม โดยเฉลี่ยในแต่ละวันวีซ่าวิเคราะห์ข้อมูลลักษณะนี้มากกว่า 6 พันล้านรายการ
นอกจากนี้ยังมีบริการโทเค็นของวีซ่าที่ทำหน้าที่เปลี่ยนข้อมูลที่สำคัญของผู้ถือบัตร เช่น หมายเลขหน้าบัตร 16 หลักเป็นข้อมูลดิจิทัลอื่นๆ ที่เรียกว่าโทเค็น โดยโทเค็นนี้จะช่วยให้การชำระเงินแบบดิจิทัลเกิดขึ้นได้โดยไม่เผยข้อมูลสำคัญๆ ของผู้ถือบัตร ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้รหัสผ่านอีกต่อไป
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
