เมื่อปฏิบัติการจู่โจมเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ทำให้สังคมได้พบความจริงที่สวนทางกับมาตรการความมั่นคงขั้นสูงสุดที่ควรจะเป็น ทั้งห้องลับ, นางแบบสาว, และสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันสำหรับ ‘จีนเทา’ จนนำไปสู่คำสั่งย้ายฟ้าผ่า
ความคืบหน้าล่าสุดปม ‘คุก VIP’ จนถึงวันที่ 20 พฤศจิกายน 2568 มีดังนี้
การจู่โจมตรวจค้นและสิ่งที่ค้นพบ
วันดำเนินการ: การจู่โจมตรวจค้นโดยชุดปฏิบัติการพิเศษของกรมราชทัณฑ์เกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 16 พฤศจิกายน 2568
กลุ่มเป้าหมาย: ผู้ต้องขังกลุ่มจีนเทา ซึ่งถูกคุมขังอยู่ใน 3 แดนของเรือนจำ
ที่มาของเบาะแส: การร้องเรียนจากผู้ต้องขังชาวไทยที่ไม่พอใจต่ออิทธิพลและอภิสิทธิ์ที่ผู้ต้องขังชาวจีนได้รับ
อุปสรรคก่อนหน้า: การส่งชุดปฏิบัติการเข้าตรวจสอบก่อนหน้านี้มักประสบปัญหาข่าวรั่วไหล ทำให้ไม่พบการกระทำผิด
สิ่งที่ตรวจพบ:
- สิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องใช้ไฟฟ้า ไมโครเวฟ, กาน้ำร้อน, และเครื่องปรับอากาศ ซึ่งถูกระบุว่าเป็น ‘ของบริจาค’
- ของต้องห้าม ของมีคมและไฟแช็ก ซึ่งบ่งชี้ถึงการสูบบุหรี่ภายในเรือนจำ
- การจ้างผู้รับใช้ ผู้ต้องขังจีนเทาใช้เงินจ้างผู้ต้องขังชาวไทยที่สามารถสื่อสารภาษาจีนได้ให้มาทำหน้าที่ดูแลรับใช้
การให้บริการทางเพศและการใช้พื้นที่ลับ
การจัดหาหญิงสาว: ข้อมูลจากชุดจู่โจมระบุว่ามีการจ้างนางแบบสาวเดินทางมาจากประเทศจีนเพื่อให้บริการทางเพศแก่ผู้ต้องขัง โดยมีค่าใช้จ่ายสูงถึงหลักล้านบาท
สถานที่: มีการใช้ห้องลับใต้บันได ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างประตู 1 และประตู 2 ของเรือนจำ เป็นสถานที่นัดพบ
ช่องทางการเข้า-ออก: มีการกล่าวหาว่าหญิงสาวถูกพาเข้าเรือนจำผ่านช่องทางพิเศษจากห้องทำงานของผู้บัญชาการเรือนจำซึ่งอยู่ชั้น 2 โดยไม่ต้องผ่านประตู 1 ที่เป็นทางเข้าปกติ
หลักฐาน: เจ้าหน้าที่ได้เก็บรวบรวมหลักฐานสำคัญ เช่น ถุงยางอนามัยที่ใช้แล้ว และกระดาษทิชชูที่มีคราบอสุจิ เพื่อนำไปตรวจ DNA
ผลกระทบและการดำเนินการ
การโยกย้ายเจ้าหน้าที่:
- พงษ์สวาท นีละโยธิน ปลัดกระทรวงยุติธรรม มีคำสั่งย้าย มานพ ชมชื่น ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ไปปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งผู้ตรวจราชการกรมราชทัณฑ์ ตั้งแต่วันที่ 16 พฤศจิกายน 2568
- มีการสั่งย้ายเจ้าหน้าที่ผู้คุมที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมผู้ต้องขังใน 3 แดนดังกล่าวอีกมากกว่า 14 คน
การตั้งคณะกรรมการสอบสวน:
- กรมราชทัณฑ์ได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง โดยมอบหมายให้ ยุทธนา นาคเรืองศรี รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ เป็นประธาน
- การสอบสวนจะเริ่มขึ้นในวันจันทร์ที่ 24 พฤศจิกายน 2568 เพื่อตรวจสอบเจ้าหน้าที่ทุกรายที่เกี่ยวข้อง
มาตรการความมั่นคงเรือนจำไทย สวนทางกับเรื่องฉาวที่เกิด
กรมราชทัณฑ์ได้กำหนดแนวทางปฏิบัติมาตรฐาน (SOPs) ที่เข้มงวดในการกำกับดูแลเรือนจำและทัณฑสถานทั่วประเทศ รวมถึงเรือนจำพิเศษต่างๆ เพื่อรักษาระเบียบวินัย ป้องกันการหลบหนี และสร้างความปลอดภัยให้กับสังคม ควบคู่ไปกับการเคารพสิทธิมนุษยชน โดยมีสาระสำคัญดังนี้:
1. การตรวจค้นและสกัดกั้นสิ่งของต้องห้าม ถือเป็นปราการด่านแรกที่สำคัญที่สุด โดยมีการตรวจค้นบุคคล ยานพาหนะ และสิ่งของขาเข้าอย่างละเอียด หากเป็นบุคคลภายนอกต้องผ่านเครื่องเอ็กซเรย์หรือถอดรองเท้าตรวจสอบ สำหรับผู้ต้องขัง หากมีเหตุสงสัยว่าซุกซ่อนสิ่งของ เจ้าหน้าที่สามารถตรวจค้นร่างกายอย่างละเอียดได้โดยต้องคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ รวมถึงมีการสืบสวนหาข่าวทางลับเพื่อปราบปรามยาเสพติดอย่างต่อเนื่อง
2. การจำแนกและบริหารจัดการพฤติกรรมผู้ต้องขัง ผู้ต้องขังใหม่ทุกคนต้องผ่านการประเมินสุขภาพกาย สุขภาพจิต และประวัติอาชญากรรม เพื่อแยกการควบคุมให้เหมาะสม
- ผู้ที่มีความเสี่ยงสูงหรือป่วย: จะถูกแยกขังเพื่อป้องกันอันตรายต่อผู้อื่น
- ผู้ที่ประพฤติตนดี: จะได้รับการพิจารณาเลื่อนชั้น ย้ายสู่แดนความมั่นคงต่ำ หรือ แดนลอง เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนปล่อยตัว
3. การใช้กำลังและเครื่องพันธนาการ เจ้าหน้าที่จะใช้กำลังหรือเครื่องพันธนาการ (เช่น กุญแจมือ ตรวน) ได้เฉพาะในกรณีที่จำเป็นตามกฎหมายเท่านั้น เช่น เพื่อป้องกันการหลบหนี หรือป้องกันอันตรายต่อชีวิต โดยต้องรายงานผู้บังคับบัญชาทันทีทุกครั้งที่มีการใช้มาตรการดังกล่าว
4. การควบคุมเมื่อออกทำงานสาธารณะ การนำผู้ต้องขังออกไปทำงานภายนอก (งานจ่ายนอก) มีระเบียบรัดกุม ผู้ต้องขังต้องผ่านการคัดกรองคุณสมบัติ ตัดผมและแต่งกายตามระเบียบ มีบัตรประจำตัวชัดเจน และต้องอยู่ในสายตาเจ้าหน้าที่ตลอดเวลา บางกรณีอาจต้องมีการทำสัญญากับญาติเพื่อค้ำประกันค่าเสียหายหากเกิดการหลบหนี
แม้ที่ผ่านมาทางกรมราชทัณฑ์ และ เรือนจำ จะกำหนดมาตรการและแนวทางปฏิบัติเพื่อความมั่นคง ปลอดภัยไว้อย่างละเอียด แต่สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับปม ‘คุก VIP’ ได้เป็นภาพสะท้อนให้เห็นแล้วว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง สวนทางกับมาตรฐานที่ควรจะเป็นมากเพียงใด


