นับตั้งแต่ช่วงกลางปี 2565 ตลาดหุ้นเวียดนามได้รับผลกระทบหนัก จากการที่รัฐบาลเวียดนามเดินหน้าปราบปรามทุจริตคอร์รัปชันทุกมิติ ทำให้ความไม่แน่นอนด้านกฎระเบียบเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลกระทบความเชื่อมั่นของนักลงทุน โดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด มีประเด็นปัญหาสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจ ทั้งนี้ มีบริษัทจดทะเบียนในเวียดนามถึง 54 แห่ง ต้องแจ้งเลื่อนวันชำระคืนหุ้นกู้ออกไป และมีบริษัทอสังหาบางส่วนผิดนัดชำระหนี้ ขณะที่เศรษฐกิจเวียดนามเข้าสู่ช่วงอ่อนแอลง หลังภาคส่งออกที่เป็นกลไกหลักขับเคลื่อนเศรษฐกิจเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัว
อย่างไรก็ตาม ในปี 2567 นี้ เศรษฐกิจเวียดนามมีแนวโน้มขยายตัวด้วยแรงหนุนจากภาคส่งออก และเงินลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI) ที่ดีต่อเนื่อง โดยรัฐบาลเวียดนามตั้งเป้าหมาย GDP ขยายตัว 6.0-6.5% และเป้าหมายอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 4.0-4.5% ซึ่งเรามองว่า เศรษฐกิจเวียดนามในปีนี้มีแนวโน้มได้รับอานิสงส์จาก 3 ปัจจัย ได้แก่ 1. การฟื้นตัวของภาคการส่งออก 2. การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่ทางการเวียดนามน่าจะมีการออกมาตรการช่วยเหลือบริษัทต่างๆ หลังการบังคับใช้ Global Minimum Tax (GMT) หรืออัตราภาษีขั้นต่ำสำหรับรายได้นิติบุคคล ทำให้บริษัทต่างชาติเริ่มคลายความกังวล และ 3. การบริโภคในประเทศที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังมีมาตรการผ่อนคลายทางการเงินและการคลังเป็นแรงสนับสนุนสำคัญที่ส่งเสริมเศรษฐกิจเวียดนามให้เติบโตอย่างต่อเนื่องด้วย
สำหรับภาคอสังหามีแนวโน้มฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป เพียงแต่ยังมีความเสี่ยงการผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้อยู่ โดยภายหลังภาครัฐออกมาตรการช่วยเหลือต่างๆ รวมถึงการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และการผ่อนผันการนัดชำระหนี้หุ้นกู้ภาคอสังหาออกไป 2 ปี ทำให้เรามองว่ากิจกรรมในภาคอสังหามีแนวโน้มผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ขณะที่สภานิติบัญญัติเวียดนามผ่านร่างกฎหมาย Land Law เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2567 เร็วกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ช่วงเดือนมิถุนายน 2567 ซึ่งร่างกฎหมายฉบับนี้จะมีผลบังคับใช้ภายในวันที่ 1 มกราคม 2568 โดยจะทำให้ผู้พัฒนาอสังหาสามารถตกลงราคาซื้อขายที่ดินกับเจ้าของที่ดินได้โดยตรง ไม่ต้องให้ทางการเป็นผู้กำหนดค่าตอบแทน ช่วยหนุนให้บรรยากาศภาคอสังหาเวียดนามมีพัฒนาการที่ดีในระยะต่อไป
ส่วนกลุ่มธนาคารมีแนวโน้มได้อานิสงส์จากเศรษฐกิจที่กลับสู่ขาขึ้น โดยธนาคารกลางเวียดนาม (SBV) ตั้งเป้าหมายสินเชื่อปีนี้เติบโต 15% แสดงถึงความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ ซึ่งกลุ่มธนาคารน่าจะได้รับอานิสงส์จากการขยายตัวของสินเชื่อนี้ ถึงแม้ว่าสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) จะอยู่ในระดับสูง แต่การก่อตัวของ Stage 2 Loan ซึ่งเป็นสินเชื่อที่แสดงสัญญาณเบื้องต้นของความอ่อนแอในการชำระหนี้ แต่ยังไม่ถือว่าเป็น NPL มีแนวโน้มผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว ส่งผลให้การตั้งสำรองระยะต่อไปมีแนวโน้มลดลง และช่วยหนุนผลประกอบการธนาคารระยะต่อไป
SCB CIO ได้ปรับมุมมองตลาดหุ้นเวียดนาม จาก Neutral สู่ Slightly Positive จากแนวโน้มกำไรบริษัทจดทะเบียนที่ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นตามการส่งออกที่คาดว่าจะฟื้นตัว FDI ที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภาคอสังหามีแนวโน้มฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป อีกทั้งรัฐบาลผ่านร่างกฎหมาย Land Law เอื้ออำนวยให้สภาพคล่องกลุ่มอสังหาปรับตัวดีขึ้น ส่วนธุรกิจธนาคารมีแนวโน้มได้รับอานิสงส์จากเศรษฐกิจที่กลับสู่ขาขึ้น ขณะที่ Valuation ตลาดหุ้นเวียดนามอยู่ในระดับที่น่าสนใจ โดยมี Price to Earning Multiple (P/E) หรือราคาต่อกำไรต่อหุ้น ซื้อขายอยู่ที่ 10.1x ซึ่งเป็นระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี อยู่ที่ประมาณ -1 s.d.
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นเวียดนามยังมีโอกาสถูกยกระดับเป็นตลาดเกิดใหม่ และมีแนวโน้มถูกดึงเข้าไปคำนวณบนดัชนี FTSE โดยหากสามารถยกเลิกระบบ Pre-Funding ที่บังคับให้นักลงทุนต่างชาติมีเงินสด 100% ของมูลค่าการซื้อขายในพอร์ต 1 วันก่อนการทำธุรกรรมสำเร็จ จะเพิ่มโอกาสในการถูกดึงเข้าไปคำนวณบนดัชนี FTSE Emerging Markets ได้ภายในปี 2567 ด้วย
ทั้งนี้ เราแนะนำให้ลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามผ่านกองทุนที่มีกลยุทธ์ Bottom-up และรักษาสัดส่วนการลงทุนในพอร์ตภายใต้เงื่อนไขตลาดหุ้นเวียดนามยังเป็น Frontier Market (ตลาดหุ้นชายขอบ หรือตลาดหุ้นของประเทศที่เพิ่งจะพัฒนา) ที่มีความผันผวนได้สูง โดยการลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามควรจัดอยู่ในการลงทุนบน Opportunistic Portfolio ซึ่งเป็นพอร์ตส่วนเพิ่มเติมและเป็นการลงทุนตามสถานการณ์ โดย Opportunistic Portfolio คิดเป็น 20-40% ของพอร์ตทั้งหมด เนื่องจากการลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามมีความผันผวนสูง เราจึงแนะนำลงทุนในสัดส่วนตามระดับความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนยอมรับได้ ในกรณีที่เกิดผลลบไม่เป็นไปตามคาดหวังก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อ Core Portfolio ซึ่งเป็นพอร์ตลงทุนแกนกลางสำหรับการลงทุนระยะยาวมากเกินไปนัก
ภาพ: Berkah / Getty Images, Richard Drury / Getty Images