เป็นเวลาหลายสัปดาห์แล้วที่ เลถิมิงห์ตาม (Le Thi Minh Tam) วัย 67 ปี ต้องตระเวนหาซื้อทองคำทั่วกรุงฮานอยเพื่อเตรียมเป็นของขวัญในงานแต่งงานของลูกชาย เธอต้องต่อสู้กับแถวที่ยาวเหยียดหน้าร้านทองที่สินค้ามักจะหมดลงอย่างรวดเร็ว
“ฉันเริ่มกังวลแล้ว เพราะยังหาซื้อได้ไม่เพียงพอ” ตามถอนหายใจ “ตอนนี้พวกเขาไม่ขายทองคำแท่งแล้ว มีแต่ทองรูปพรรณที่เป็นแหวน ซึ่งก็จำกัดปริมาณการซื้อต่อคนด้วย”
ตามไม่ได้เผชิญปัญหานี้เพียงลำพัง การที่ราคาทองคำในตลาดโลกพุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ถึง 4,380 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ประมาณ 1.42 แสนบาท) เมื่อเดือนที่แล้ว ได้จุดชนวนให้เกิดการกว้านซื้อทองคำทั่วประเทศเวียดนาม ซึ่งทองคำถือเป็นสัญลักษณ์แห่ง ‘โชคลาภ’ และมักถูกเก็บซ่อนไว้ใต้เตียงเพื่อเป็นหลักประกันความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ
ปรากฏการณ์นี้กำลังกลายเป็นบททดสอบสำคัญของรัฐบาลคอมมิวนิสต์ที่เพิ่งเริ่มผ่อนคลายตลาดทองคำเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา โดยได้มีการยุติการผูกขาดการนำเข้าและการผลิตทองคำโดยรัฐที่ใช้มานานถึง 13 ปี ซึ่งเป็นระบบที่ทำให้ปริมาณทองคำในประเทศมีจำกัดและมีราคาสูงกว่าปกติ แต่สถานการณ์กลับแย่ลงเมื่ออุปทานขาดแคลนอย่างหนักในนครโฮจิมินห์ จนถึงขั้นมีคนไปกางเต็นท์นอนข้ามคืนหน้าร้านทอง
เหวียนคิมเหว (Nguyen Kim Hue) แม่ค้าออนไลน์วัย 57 ปีกล่าวว่า “ฉันคิดว่าการมาถึงตอน 6 โมงเช้าก็น่าจะเร็วพอแล้ว แต่กลับพบว่ามีคนมารอแน่นไปหมด ครั้งที่แล้วฉันซื้ออะไรไม่ได้เลย เพราะทองหมดเสียก่อน”
โลหะมีค่าชนิดนี้ฝังรากลึกอยู่ในวัฒนธรรมเวียดนามมาช้านาน โดยเฉพาะในพิธีแต่งงานที่ญาติผู้ใหญ่จะมอบทองคำให้คู่บ่าวสาวเพื่อความเป็นสิริมงคล ในช่วงสงครามเวียดนาม ทองคำยังทำหน้าที่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยเมื่อค่าเงินผันผวน และจนถึงทุกวันนี้ ทองคำก็ยังได้รับความไว้วางใจมากกว่าการฝากเงินในธนาคาร
ย้อนกลับไปในปี 2012 รัฐบาลได้บังคับใช้ระบบผูกขาดโดยรัฐ เพื่อต่อสู้กับภาวะไร้เสถียรภาพทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการกักตุนทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยงเงินเฟ้อ แต่นโยบายดังกล่าวกลับยิ่งทำให้ราคาทองในประเทศทิ้งห่างจากราคาโลกมากขึ้น และ ‘กระตุ้น’ ให้การซื้อขายทองคำในตลาดมืดขยายตัว ซึ่งส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของค่าเงินด่องในเวลาต่อมา
การยกเครื่องกฎระเบียบครั้งใหม่นี้จึงมีเป้าหมายเพื่อลดช่องว่างราคาระหว่างในประเทศและตลาดโลก โดยที่ผ่านมา ราคาทองในเวียดนามมักจะสูงกว่าราคาโลก 10-15% ซึ่งรัฐบาลหวังว่าจะสามารถกดส่วนต่างนี้ลงให้เหลือเพียง 2-3% ได้
แต่การเปลี่ยนแปลงยังคงเป็นไปอย่างช้าๆ ธนาคารกลางยังคงเป็นผู้กำหนดปริมาณทองคำที่จะนำเข้ามาในประเทศ “เราต้องรอจนถึงกลางเดือนธันวาคมจึงจะรู้ว่าธนาคารกลางจะอนุมัติโควตานำเข้าทองคำเท่าไหร่” ฮหวิ่ญจุงคั้ญ (Huynh Trung Khanh) รองประธานสมาคมผู้ค้าทองคำเวียดนามกล่าว “ซึ่งโควตาที่ได้ก็น่าจะยังต่ำกว่าความต้องการของตลาดอยู่มาก”
สมาคมฯ ประเมินว่าความต้องการทองคำต่อปีของเวียดนามอยู่ที่ประมาณ 55 ตัน ซึ่งสูงที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ธนาคารกลางกลับนำเข้ามาเพียง 13.5 ตันในปีที่แล้ว คั้ญอธิบายว่า “เราผ่านสงครามและความยากลำบากมามาก ดังนั้นผู้คนที่นี่จึงมองว่าทองคำเป็นที่หลบภัยที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับเงินของพวกเขา เป็นสิ่งที่พึ่งพาได้ในยามที่ชีวิตยากลำบาก”
ในภาพรวมระดับโลก ทองคำถือเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่ทำผลงานได้ดีที่สุดในปีนี้ โดยมีแรงขับเคลื่อนจากความต้องการของธนาคารกลางและนักลงทุนทั่วไป
สำหรับเวียดนาม แม้ราคาจะเริ่มลดลงจากจุดสูงสุด แต่ป้ายสินค้าหมดก็ยังคงเป็นภาพที่ชินตาตามร้านทองหลายแห่ง สัปดาห์ที่แล้ว ผู้คนหลายสิบคนยังคงยืนรอเป็นเวลาหลายชั่วโมงก่อนที่ร้านทองชื่อดังในโฮจิมินห์จะเปิดทำการ แต่เหว ซึ่งมาพร้อมกับสามีของเธอในครั้งนี้ สามารถซื้อแหวนทองได้สำเร็จ 5 วง “ตอนแรกร้านค้าบอกว่าฉันซื้อได้แค่วงเดียว แต่ฉันก็พยายามเกลี้ยกล่อมจนพวกเขายอมขายให้เพิ่ม” เธอกล่าวด้วยรอยยิ้มกว้าง “ตอนนี้ฉันมีความสุขมาก”
กฎระเบียบใหม่ยังกำหนดให้การซื้อขายที่มีมูลค่าเกิน 20 ล้านด่อง (ประมาณ 24,616 บาท) ต้องชำระผ่านการโอนเงินผ่านธนาคารเท่านั้น ซึ่งเป็นการยุติธรรมเนียมการซื้อทองด้วยเงินสดที่มีมาอย่างยาวนาน และสร้างความยากลำบากให้กับผู้ซื้อสูงอายุที่ต้องโทรศัพท์ตามลูกหลานมาช่วยทำธุรกรรมออนไลน์
เหวเริ่มซื้อทองคำตั้งแต่เดือนมิถุนายน ตอนที่ราคายังอยู่ที่ประมาณ 120 ล้านด่องต่อหนึ่งตำลึง (หน่วยท้องถิ่นเทียบเท่าประมาณ 1.2 ทรอยออนซ์) แต่ตอนนี้ราคาอยู่ที่ 147 ล้านด่อง “เมื่อก่อนฉันเคยเก็บเงินออมไว้ในธนาคาร แต่ตอนนี้ฉันรู้สึก ‘ปลอดภัย’ กว่าที่จะถือทองคำไว้” เธอกล่าว “นี่คือวิธีที่ฉันจะมั่นใจได้ว่าเงินของฉันจะไม่สูญเสียมูลค่าไป นี่สำหรับค่าเล่าเรียนของลูกๆ และการเกษียณของฉัน”
ส่วน เจิ่นถิเอี๋ยนญี (Tran Thi Yen Nhi) วัย 20 ปี ก็ต้องมาต่อคิวนานถึงสามชั่วโมงเพื่อซื้อทองสำหรับงานแต่งงานของพี่สาวตามที่พ่อแม่ไหว้วานมา “ฉันสร้างนิสัยในการซื้อทองทุกครั้งที่ฉันพอจะเก็บเงินได้ ทีละเล็กทีละน้อย” ญีกล่าว “ตั้งแต่ฉันยังเด็ก ฉันก็เห็นคุณย่าทำแบบเดียวกัน ท่านจะซื้อทองเก็บไว้ใต้เตียงทุกครั้งที่ท่านออมเงินได้นิดหน่อย”
สภาทองคำโลก (World Gold Council) ประเมินว่ามีทองคำประมาณ 500 ตันถูกเก็บซ่อนไว้นอกระบบในเวียดนาม ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในตู้เซฟใต้เตียงนอน ในขณะที่ Morgan Stanley ประเมินว่าครัวเรือนในอินเดีย ซึ่งเป็นผู้บริโภคทองคำรายใหญ่อันดับสองของโลกรองจากจีน ถือครองทองคำรวมกันถึง 34,600 ตัน
เพื่อลดการกักตุนและส่งเสริมการลงทุนในรูปแบบอื่น มีข้อเสนอให้รัฐบาล ‘เก็บภาษี’ 10% สำหรับการซื้อทองคำ แต่ในปัจจุบันรัฐบาลกำลังพิจารณาเก็บภาษี 0.1% เฉพาะทองคำแท่ง เพื่อใช้ในการติดตามข้อมูลและควบคุมการเก็งกำไรในตลาดมืด นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะเปิดตลาดซื้อขายทองคำแห่งชาติเพื่อดึงทองคำที่ถูกเก็บไว้ออกมาหมุนเวียนในระบบ
แต่มาตรการเหล่านี้ก็ไม่ได้ช่วยปลอบใจ เลถิมิงห์ตาม ที่ยังคงต้องดิ้นรนหาซื้อทองสำหรับงานแต่งของลูกชายเธอได้ “ฉันทั้งเหนื่อยและกังวลมาก” เธอกล่าว “งานแต่งงานก็ใกล้เข้ามาแล้ว แต่ฉันยังซื้อทองได้ไม่พอเลย ในเวียดนาม ทองคำไม่ใช่แค่ของขวัญ มันคือวิธีที่เราแสดงความรัก”
หมายเหตุ : ใช้อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ 32.39 บาท ณ วันที่ 9 พฤศจิกายน 2568
ภาพ : Zigmunds Dizgalvis / Shutterstock
อ้างอิง:


